กษัตริย์ผู้น่าสงสารในบั้นปลาย #เจ้ามหาชีวิตของลาว
กษัตริย์ผู้น่าสงสารในบั้นปลายเจ้าชีวิตของลาว
#ประวัติศาสตร์ลาว
สมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา มีพระนามเต็มว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าเชษฐาขัติยวงศา พระมหาศรีสว่างวัฒนา (ลาว: ພຣະບາດສົມເດັດພຣະເຈົ້າເຊດຖາຂັດຕິຍະວົງສາ ພຣະມະຫາສີສະຫວ່າງວັດທະນາ) หรือ เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา (ลาว: ເຈົ້າມະຫາຊີວິດສີສະຫວ່າງວັດທະນາ)[note 1] เป็นพระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรลาว ก่อนที่จะถูกฝ่ายพรรคประชาชนปฏิวัติลาว (คอมมิวนิสต์ลาว) ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวใน พ.ศ. 2518
พระราชประวัติตอนต้น
สมเด็จพระเจ้าสว่างวัฒนา เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2450 เป็นพระราชโอรสองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ กับพระอัครมเหสีคำอุ่น มีพระราชอนุชาและพระราชขนิษฐาคือ เจ้าฟ้าหญิงสัมมาธิ, เจ้าฟ้าชัยศักดิ์, เจ้าฟ้าสุพันธรังสี และมีพระเชษฐภคินีคือ เจ้าฟ้าหญิงคำแพง และยังถือเป็นพระญาติกับเจ้าสุวรรณภูมา และเจ้าสุภานุวงศ์ เมื่อพระชนมายุได้ 8 พรรษา พระราชชนนีก็ทรงสิ้นพระชนม์ลงด้วยพระอาการประชวร เมื่อพระองค์พระชนมายุได้ 10 พรรษา ได้ทรงศึกษาเรียนต่อ ณ มหาวิทยาในเมืองมงเปอลีเย และทรงจบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาทางการเมืองปารีส ซึ่งนักการทูตฝรั่งเศสได้ฝึกสอนพระองค์ไว้ หลังจากจบการศึกษาแล้ว พระองค์ยังทรงได้ศึกษาอยู่ที่ฝรั่งเศสต่อไป หลังจากนั้น พระองค์ได้ตัดสินใจกลับมายังประเทศลาว แต่พระองค์ตรัสเป็นภาษาลาวไม่ได้และต้องได้รับการถวายคำแนะนำจากข้าราชบริพารนานเป็นปี พระองค์อภิเษกสมรสกับพระนางคำผุยเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2473 มีพระราชโอรสธิดารวม 5 พระองค์ คือ
เจ้าฟ้าชายมกุฎราชกุมารวงศ์สว่าง (Crown Prince Vong Savang, 27 กันยายน พ.ศ. 2474 - มกราคม พ.ศ. 2523)
เจ้าฟ้าชายศรีสว่าง (Prince Sisavang Savang, ธันวาคม พ.ศ. 2478 - พ.ศ. 2521)
เจ้าฟ้าชายโสรยะวงศ์ (Prince Sauryavong Savang, 22 มกราคม พ.ศ. 2480)
เจ้าฟ้าหญิงสะหวีวัน (ฉวีวรรณ - Princess Savivanh Savang, พ.ศ. 2476 - 4 มกราคม พ.ศ. 2550)
เจ้าฟ้าหญิงธารา (Princess Thala Savang, 10 มกราคม พ.ศ. 2478 - 14 เมษายน พ.ศ. 2549)
เช่นเดียวกับพระราชวงศ์ในทวีปเอเชียพระราชวงศ์อื่นๆ พระองค์กับพระราชโอรสธิดา โปรดการทรงเทนนิสมาก และมักจะลงแข่งอยู่เสมอๆ พระองค์ยังเป็นผู้ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาและมีพระราชประสงค์เป็นผู้ค้ำจุนพระศาสนาอย่างจริงจัง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 พระราชชนกของพระองค์ได้มอบหมายให้พระองค์เป็นผู้แทนไปยังศูนย์บัญชาการของญี่ปุ่นที่ไซง่อนเพื่อที่จะแสดงการประท้วงที่ญี่ปุ่นได้รุกล้ำลาวและบังคับให้ลาวประกาศเอกราชจากฝรั่งเศส
ใน พ.ศ. 2494 พระองค์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเมื่อพระราชชนกทรงพระประชวร ได้ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการในวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2502 จนกระทั่งเมื่อพระราชชนกสวรรคตในวันที่ 29 ตุลาคม พระองค์ก็ได้รับราชสมบัติสืบต่อจากพระราชชนก แต่พระองค์ไม่ได้ผ่านพิธีราชาภิเษกเลย เพราะพระองค์ได้ทรงชะลอพิธีราชาภิเษกไปเนื่องจากสงครามกลางเมืองลาวในเวลานั้น ในรัชสมัยของพระองค์ พระองค์ได้เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีไปหลาย ๆ ประเทศ ในเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2506 พระองค์ได้เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาและได้พบกับประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี เพื่อทำความตกลงตาม การประชุมเจนีวา ที่รับประกัน "ความเป็นกลาง" ของลาว โดยจุดเริ่มที่พระองค์เสด็จเยือนคือ สหภาพโซเวียต โดยพระองค์ได้เสด็จเยือนร่วมกับ เจ้าสุวรรณภูมา
พระองค์มีบทบาทในทางการเมืองลาวเป็นอย่างมากและมีความพยายามที่จะรักษาเสถียรภาพของลาวไว้หลังจากที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองลาวอันสืบเนื่องมาจากการประชุมเจนีวา ใน พ.ศ. 2497 ซึ่งได้รับรองความเป็นเอกราชของลาวอย่างสมบูรณ์ แต่ไม่ได้ตั้งเงื่อนไขว่าผู้ใดจะได้ปกครองลาว โดยมี "3 ฝ่ายเจ้า" นั้นคือ เจ้าสุวรรณภูมา ผู้ซึ่งประทับในกรุงเวียงจันทน์ ที่ประกาศพระองค์เป็นกลางและได้รับการสนับสนุนโดย สหภาพโซเวียต, เจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาศักดิ์ ซึ่งมีอิทธิพลและอำนาจในลาวใต้และเป็นฝ่ายขวาหนุนสหรัฐอเมริกา และ เจ้าสุภานุวงศ์ ผู้ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายคอมมิวนิสต์และอยู่ในเขตลาวเหนือ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งไปมากกว่านี้ ทั้งเจ้าสุวรรณภูมาและเจ้าบุญอุ้มนี้ ได้ถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรี "ที่ถูกต้อง" และทั้งสองฝ่ายได้จัดการเรื่องนี้ผ่านทางพระเจ้ามหาชีวิต
ใน พ.ศ. 2504 เสียงส่วนใหญ่ของสภาแห่งชาติ ได้เลือกเจ้าบุญอุ้มขึ้นครองอำนาจ และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนาทรงเสด็จมาจากหลวงพระบางมายังกรุงเวียงจันทน์เพื่อทรงอวยพรให้รัฐบาลชุดใหม่นี้ แต่พระองค์ยังต้องการให้เจ้า 3 องค์ ได้เข้าร่วมเป็นพรรครัฐบาลผสมซึ่งได้เกิดขึ้นใน พ.ศ. 2505 แต่ก็มีอันล่มไปในเวลาต่อมา
การสละราชสมบัติและการเสด็จสวรรคต
วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2518 กองกำลังขบวนการปะเทดลาวได้เข้ายึดกรุงเวียงจันทน์ นับเป็นเมืองสุดท้ายที่ได้ยึดครอง และส่งผลให้รัฐบาลเจ้าสุวรรณภูมาได้กลายเป็นรัฐบาลที่ไร้อำนาจและเสถียรภาพ ในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2518 มติสภาชั่วคราวได้ลงความเห็นให้ยกเลิกระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของลาวและสถาปนา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ขึ้นมาแทนที่ ส่งผลให้พระองค์ต้องสละราชบัลลังก์และพระราชอำนาจไปยังสภาชั่วคราว ทางสภาได้มีมติแต่งตั้งพระองค์ให้เป็น "ที่ปรึกษาสูงสุดของประธานประเทศ" พระองค์ได้ปฏิเสธการหลบหนีอพยพออกจากประเทศด้วยเหตุผลว่า "พวกเราเป็นคนลาวเหมือนกันก็ต้องคุยกันได้" พระองค์ยังประทับอยู่ในพระราชวังหลวงพระบางต่อไปจนกระทั่ง พ.ศ. 2519 พูมี วงวิจิด ได้สั่งการให้พระราชวังหลวงพระบางและทรัพย์สินในพระราชวังเป็นสมบัติของประเทศ และมีผลให้พระองค์กับพระญาติวงศ์ออกจากวังไปในทันที
#เรื่องเล่าจากบันทึก เล่าเรื่องต่างๆที่มีสาระและน่าสนใจ ประวัติศาสตร์ ประวัติบุคคลสำคัญต่างๆ รวมถึงธรรมะคำสอนต่างๆ
14 июн 2024