คนดังกับโรค
หมวย สุภาภรณ์
ไบโพลาร์
หนี้นอกระบบ ?
คนดังกับโรค ตอนที่ 16 : วิเคราะห์ สาเหตุความตกต่ำของ คุณหมวย สุภาภรณ์ จากไบโพลาร์ หรือ หนี้นอกระบบ ?
ไบโพลาร์คืออะไร
โรคไบโพลาร์ เป็นโรคที่มีความผิดปกติของอารมณ์เป็นหลัก มีอาการแสดงออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มอาการแมเนีย (Mania) คือ อารมณ์ดี หรือคึกคัก สนุกสนาน และกลุ่มอาการซึมเศร้า (Depress) จึงเรียกโรคนี้ว่า โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว (ขั้วบวก = แมเนีย และ ขั้วลบ = ซึมเศร้า)
โดยปกติคนเราในแต่ละวัน มีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในระดับหนึ่งแล้วกลับมาเป็นปกติ ดำเนินชีวิต รับผิดชอบหน้าที่การงาน ครอบครัว สังคมได้ แต่คนที่มีอารมณ์ผิดปกติ คือ เกิดอารมณ์บวกหรืออารมณ์ลบเป็นเวลา 1 - 2 สัปดาห์ขึ้นไป ไม่สามารถกลับเข้าสู่อารมณ์ปกติได้ จนกระทบกับการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่การงาน ครอบครัว หรือความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้
ลักษณะอาการ
กลุ่มอาการแมเนีย เป็นช่วงเวลาที่อารมณดี ครึกครื้น แสดงออกอย่างเต็มที่ พูดมาก พูดเร็ว พูดไม่ยอมหยุด ความคิด พรั่งพรู มีโครงการมากมายเป็นร้อยเป็นพันล้าน รู้สึกว่าตนเองเก่ง มีความสามารถมาก มีความสำคัญมาก ความมั่นใจในตนเองสูง เรี่ยวแรงเพิ่ม นอนน้อยกว่าปกติ บางรายนอนเพียงวันละ 1 - 2 ชั่วโมงเท่านั้น โดยไม่มีอาการอ่อนเพลีย สมาธิไม่ดี วอกแวก สนใจไปทุกสิ่งทุกอย่าง หุนหันพลันแล่น การตัดสินใจไม่เหมาะสม เช่น ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย ทำเรื่องเสี่ยงอันตราย ผิดกฎหมาย ชอบเที่ยวกลางคืน ความต้องการทางเพศสูง มีพฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม คิดว่าช่วงนี้ตนเองอารมณ์ดี สบายใจ รู้สึกขยัน อยากทำงาน มักปฏิเสธการรักษา ซึ่งอาการเกิดขึ้นตลอดเวลาเกือบทั้งวัน ติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์
กลุ่มอาการซึมเศร้า ในโรคไบโพลาร์เกิดขึ้นบ่อยกว่ากลุ่มอาการแมเนียเกือบ 3 เท่า โดยมีลักษณะเดียวกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คือ อาการเบื่อหน่าย ท้อแท้ มองทุกอย่างในแง่ลบ ความสนใจหรือเพลิดเพลินใจในสิ่งต่างๆ ลดลงอย่างมาก เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี เป็นภาระ รู้สึกไร้ค่า บางรายคิดอยากตาย ซึ่งมีไม่น้อยที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย
คนที่ป่วยเป็นโรคนี้ มักมีอาการเป็นรอบๆ รอบละประมาณ 3 - 4 เดือน บางรอบอาจเป็นแมเนีย บางรอบอาจมีอาการซึมเศร้า ในแต่ละรอบอาการอาจคืนสู่ภาวะปกติได้เองโดยไม่ต้องรักษา แต่ต้องใช้เวลานานกว่าผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลรักษาโดยแพทย์ และในช่วงมีอาการจะมีความเสี่ยงหลายด้าน เช่น ช่วงอารมณ์ซึมเศร้าอาจรุนแรงถึงขึ้นฆ่าตัวตายได้ ส่วนช่วงอารมณ์แมเนียอาจก่อหนี้สินมากมายจากการพนัน หรือการลงทุนที่ผิดพลาด ทำร้ายผู้อื่น เกิดโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน เช่น โรคเอดส์ เป็นต้น ใช้ยาเสพติด อุบัติเหตุจากขับรถเร็ว ทำเรื่องผิดกฎหมาย
สาเหตุ
ปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่นอนของการเกิดโรคไบโพลาร์ แต่มีหลักฐานว่าเกิดจากหลายสาเหตุ และหลายปัจจัยร่วมกัน
จากการวิจัยจำนวนมาก ระบุว่า โรคไบโพลาร์ เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง โดยมีสารสื่อนำประสาทที่ไม่สมดุล ทำให้เซลล์สมองทำงานได้ไม่ปกติ สมองที่เคยควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติจึงทำงานบกพร่องไป เกิดเป็นอาการต่างๆ ของโรคไบโพลาร์
อีกทั้งยังพบว่า ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยไบโพลาร์ มีสาเหตุจากพันธุกรรม โดยคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้จะมีโอกาสเป็นโรคมากกว่าคนทั่วไป เช่น ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคซึมเศร้า ลูกจะมีโอกาสประมาณ ร้อยละ 15-25 ที่จะเป็นโรคไบโพลาร์ด้วย
ทั้งนี้ โรคไบโพลาร์ พบได้ประมาณ ร้อยละ 1.5 - 5 ของประชากรทั่วไป ช่วงอายุที่มักพบว่ามีอาการครั้งแรก คือ ช่วง 15 - 19 ปี แต่ผู้ป่วยบางคนอาจเริ่มมีอาการในระยะก่อนเข้าวัยรุ่นหรือวัยรุ่นตอนต้นก็ได้ โดยการเจ็บป่วยครั้งแรกมักสัมพันธ์กับการมีเหตุการณ์ตึงเครียดในชีวิตเป็นตัวกระตุ้น เช่น การเสียชีวิตของคนในครอบครัว คนที่รัก หรือการผิดหวังจากความรัก การเรียน หรือการงาน เป็นต้น
การรักษา
เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการเสียสมดุลของสารสื่อนำประสาท ดังนั้น ยา จึงเป็นปัจจัยหลักของการรักษาที่ช่วยปรับระดับสารสื่อนำประสาทให้เข้าสู่สมดุล ปัจจุบันมียาอยู่หลายชนิดที่มีประสิทธิภาพในการรักษา ยากลุ่มนี้ไม่ใช่ยากล่อมประสาทหรือยานอนหลับ ไม่ทำให้ติดยาเมื่อใช้ในระยะยาว แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 - 4 สัปดาห์ จึงเห็นผล
ยาที่ใช้รักษาโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว ได้แก่ ยาในกลุ่มยาควบคุมอารมณ์ ยาต้านโรคจิต และยาต้านซึมเศร้า ซึ่งการใช้ยาเหล่านี้ขึ้นกับการพิจารณาของแพทย์ที่รักษาผู้ป่วย
• ยาควบคุมอารมณ์
ยากลุ่มนี้เป็นยาหลักที่ใช้ทั้งรักษาในขณะที่ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้าและเมื่อมีอาการอารมณ์ดีผิดปกติ และยังใช้ป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้ด้วย ยากลุ่มควบคุมอารมณ์นี้ออกฤทธิ์ช้า เมื่อปรับยาครั้งหนึ่งต้องรออย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ ยาจึงเริ่มออกฤทธิ์ ผู้ป่วยที่ใช้ยาในกลุ่มนี้มักต้องถูกเจาะเลือดดูระดับยาในร่างกายเพื่อช่วยในการปรับยาด้วย และยาในกลุ่มนี้มักเป็นยาต้องห้ามในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์โดยเฉพาะใน 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เพราะอาจทำให้เด็กในท้องพิการได้
• ยาต้านโรคจิต
ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการวุ่นวายและมีพฤติกรรมที่สร้างปัญหามาก และปัจจุบันยังมีงานวิจัยรับรองว่าใช้คุมอารมณ์และป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้ด้วย แพทย์จึงมักให้การรักษาด้วยยาต้านโรคจิต ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ไวและช่วยให้ผู้ป่วยสงบสติอารมณ์ควบคุมตนเองได้ดีขึ้น
• ยาต้านซึมเศร้า
มักจะใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการอยู่ในระยะซึมเศร้า แพทย์สามารถให้การรักษาด้วยยาควบคุมอารมณ์โดยไม่ต้องให้ยาแก้โรคซึมเศร้าก็ได้ แต่บางครั้งแพทย์อาจเลือกที่จะให้ยาต้านซึมเศร้าด้วยเพื่อให้ได้ผลแน่นอนขึ้น แล้วค่อยๆ ลดยาจนหยุดยาได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วย “อารมณ์ดีผิดปกติ”
โดยทั่วไป เมื่อเริ่มรักษา แพทย์มักสามารถควบคุมอาการของผู้ป่วยได้ในเวลาประมาณ 1 เดือน และผู้ป่วยมักมีอาการเป็นปกติในเวลาประมาณ 2 เดือน หลังจากนั้นยังต้องรับประทานยาเพื่อควบคุมอาการต่อไปอีกประมาณ 9 - 12 เดือน
20 янв 2022