ความเป็นมาของ... ศากยวงศ์ 

สวัสดีปีใหม่

มาบ่อยๆก็ดีนะอิสลามมันจะกลืนกินศาสนาเราหมดแล้ว

แถบนี้มีกษัตริย์ปกครองมาเป็น5000ปี แค่ไทยไม่ได้ปกครอง

มีภาษา ....กาละมสูตร..อย่าเชื่อตำรา..

ยินดีครับ

เราก็มาเพื่อสิ่งนี้... วันมาฆบูชา​วันนี้พอดี... คิดถึงคุณ​ของพระพุทธเจ้า​เหลือเกิน

ใช่ครับเรื่องนี้มีในพระไตรปิฎกด้วยครับ บ้างคนไม่ได้ศึกษาแล้วมาด่าผม ว่าแต่งเรื่องมั่ว ทำลายศาสนา ทั้งที่ผมก็ไปค้นคว้าจากตำรา และก็ฟังจากอาจารย์ นำมารวบรวม แล้วนำมาเล่าแบ่งปันกัน ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ

ตามไปหายากแล้วฮะ แค่พุทธกาลก็ 2,600 ปีแล้ว หลักฐานยังแทบจะน้อยฮะ ตามในหนังปฐมสมโพธิกถานั้น ได้บอกว่าหลังจาก พระราชโอรส และพระราชธิดา สร้างวงศ์ศากยะ วงศ์เทวทหะกันเองแล้วยังมีกษัตริย์สืบต่กันหลายๆพระองค์อีกฮะ นี่คือการอธิบายหลักๆที่มาแล้วครับ หลักฐานลายลักษณ์อักษรเดียวคือพระไตรปิฎกจริงๆ

not scientific at all. Buddha teaches about deity, naga, heaven, hell, human reborn as an animal, all of this contradicted with science.

ชาขาว

ผมก็คงต้องทำแบบนั้นแล้วละครับ สวัสดีปีใหม่ครับ

เอาความคิดความเชื่อนี้มาจากในใหน มีอะไรเป็นหลักฐานของความ คิดความเชื่อใหม่.

@@BbBb-qh8xe ปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยุ่แต่ไม่ได้เป็นราชวงศ์เหมือนแต่ก่อนแล้ว พระ คร.อนิลมาน ท่านสืบสายมาพระอานนท์ ซึ่งก็คือท่านก็ศากยวงศ์เหมือนกัน

@@BbBb-qh8xe ปัจจุบันที่เนปาลยังมีคนนามสกุลนี้และได้รับความคุ้มครองจากรัฐบาล

ศากยวงศ์ไม่ใช่กลุ่มชนชาวแขก แขกอินเดียในปัจจุบันคือกลุ่มเติร์กหรือทัพมุสลิมที่เข้ามาบดขยี้คนเจ้าของถิ่นพ.ศ.1100-1300และพ.ศ.1500-1700 แตกออกมาเป็นไท,ลาว,พม่า,มอญ,เขมรฯ ดูปีพ.ศ.เหล่านี้ไปประกอบหลักฐานการสร้างบ้านแปลงเมืองของกลุ่มชนเหล่านี้สอดรับกันโดยตลอด ตลอดทั้งการสืบทอดพระศาสนาในแผ่นดินใหม่และการสาปสูญในแผ่นดินแม่. แต่น่าเสียดายที่นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ละเลยสิ่งเหล่านี้

พอจะมีหลักฐานอะไรไหมคะ ที่คุณบอกว่าชาวอียิปต์โบราณ อพยพมาแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ แล้วก็เรียกตัวเอง ว่าอริยกะ หรืออารยะ รวมถึงเรียกตัวเอง ว่าดราวิเดียน เท่าที่ทราบ.. ทั้งคำว่า อริยกะและคำว่าอารยะ เป็นภาษาในกลุ่ม โปรโตอินโดยูโรเปียน ซึ่งเป็นภาษา ที่ชาวอารยันใช้พูด ไม่ใช่ภาษาของชาวอียิปต์ หรือชาวดราวิเดียนเลย ชื่อก็บอกอยู่แล้ว อริยกะ - อารยะ > อารยัน ทั้งหมดล้วนเป็นคำเดียวกัน ฉะนั้น.. คำว่าอารยะกับอริยกะ จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกัน กับกลุ่มภาษาดราวิเดียน ของอินเดียใต้ และไม่มีความเกี่ยวข้อง กับกลุ่มภาษา แอโฟรเอชีแอติก ที่ชาวอียิปต์ใช้พูดกันเลยค่ะ

ตามข้อมูลที่คุณบอกว่า ชาวอียิปต์ได้อพยพ มาสร้างอารยธรรม แถบลุ่มแม่น้ำสินธุ เลยเรียกพวกนี้ว่าดราวิเดียน ต่อมาก็กลายมาเป็น คนทางอินเดียตอนใต้ ชาวเขมรแดง และชาวอินโด ทำไมในทางภาษาศาสตร์ ภาษาอียิปต์โบราณ ที่อยู่ในตระกูลภาษา แอโฟรเอชีแอติก จึงเป็นภาษาคนละกลุ่ม กันกับภาษาทมิฬ ที่อยู่ในกลุ่มภาษาดราวิเดียนคะ ในเมื่อเคยเป็น ชนชาติเดียวกันมาก่อน ทำไมถึงไม่มีความคล้ายกัน ในเชิงภาษาพูดบ้างคะ เช่นชาวอารยัน แต่เดิมเป็นเผ่าใหญ่ รวมตัวกันแถบเอเซียกลาง ตอนใต้ของประเทศรัสเซีย แล้วก็กระจาย อพยพกันไป สายหนึ่งไปทางกรีก สายหนึ่งมาทางอิหร่านอินเดีย สายหนึ่งไปแถบยุโรปเหนือ ทั้งหมดนี้พูดภาษา ในกลุ่มโปรโตอินโดยูโรเปียนเหมือนกันหมด มีความคล้ายกัน ทั้งในเชิงของคำศัพท์ และโครงสร้างไวยากรณ์ ไม่ว่าจะเป็นภาษากรีก ภาษาละติน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาอิตาเลียน ภาษารัสเซีย ภาษาเปอร์เซีย (ที่คนอิหร่านพูด) ภาษาสันสกฤต ภาษาบาลี ภาษาฮินดี ทำไมถึงมีความคล้าย กันหมดเลยคะ แต่กับข้อมูลฝ่ายคุณ ทั้งภาษาอียิปต์ และภาษาทมิฬ ที่คนอินเดียใต้พูด จึงไม่มีความเชื่อมโยงกันเลยสักนิดคะ ถ้าแต่เดิมเขาเหล่านั้น เคยเป็นเผ่าเดียวกันมาก่อนจริง อย่างที่คุณว่า ไม่ต้องให้คำศัพท์ เหมือนกันก็ได้ค่ะ แต่ขอให้โครงสร้างทางภาษา ทางไวยากรณ์ เหมือนกันก็ยังดี ถึงจะพอจัดเข้ากลุ่มเดียวกันได้ แต่นี่ไม่มีความเหมือนกันเลย

คนไทยภาคใต้ ก็เป็นพวกอารยันเหมือนกัน แถมมีราชวงศ์ขอมโคตะมะอีก

ไช่ ดินแดนมีไม้สักมีไทย ลาว พม่า อินเดีย เนปาลไม่มีแน่

@@aryanikumari112 แม้แต่ชาวยิวก็คืออินเดียเหนืออพยพจนอิยิปต์จับไปเป็นทาส..เขาตรวจดีเอ็นเอ อินเดียจากการตรวจดีเอ็นเอคือ เป็นชาวเกาะอินเดียคืออนุทวีป(ชนแผ่นดินใหญ่จนเกิดหิมาลัย) รับอารยธรรมจากสุวรรณภูมิและเปอร์เชีย มีบทความของBBC

อันนี้ใน อรรถกถาระบุไว้เช่นนั้นครับ แต่ส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะเป็นสัญลักษณ์เชิงความเชื่อทางศาสนา หรืออาจจะเป็นกษัตริย์เหล่านั้นมีการแตกสาขากระจายไปสร้างเมืองในดินแดนต่างๆในชมพูทวีปกระมั้งครับ ในส่วนนี้ผมไม่ทราบจริงๆครับ จึงยกตามอรรถกถา ไว้ก่อนครับ ผิดถูกอย่างไรก็ขออภัยด้วยนะครับ

อย่าเชื่อวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ยังไม่สมบูรณ์คะ

ปฏิทินไม่คนละอย่างครับ แต่ละที่มีการนับวันเดือนปีแตกต่างกัน

อันนี้น่าเป็นประวัติโดยพิศดารครับ

อ่า

อัลล. ฮูอัสบาล

ท่านไม่ใช่ชาวอารยันค่ะ

ในสมัยโบราณมาแล้ว วงศ์กษัตริย์ มักจะแต่งงานกันเองในเครือญาติ เป็นเรื่องปกติ และก็มีทั้งที่ได้ลูกแบบปกติ และ ไม่ปกติ

มีหลายเมียหรือเปล่าหนึ่งคนออกลูกมากี่คน

มีผล 2 ทาง ผสมเลือดชิด(แม้ในสัตว์เลี้ยงก็ทำแบบนี้เพื่อพิสูจน์พันธุ์แท้ 4 รุ่นขึ้นไป) -เลือดชิด ได้ยีนดี เสมือนเดิม คือ พันธุ์แท้ -เลือดชิด ได้ยีนไม่ดี พิการ/กลายพันธ์ สีเปลี่ยน ลักษณะสำคัญเปลี่ยน คือ ไม่ใช่พันธุ์แท้ มหาบุรุษลักษณะ ก็เกิดจากเลือดชิด 7 ชั่วโคตรขึ้นไป เท่านั้น ตามตำรา จักรพรรดิหรือพระพุทธเจ้า จึงเกิดในตระกูลพราหมณ์ (ยุคที่ไม่มีกษัตริย์) หรือกษัตริย์ เท่านั้น ซึ่ง 2 ตระกูลนี้ จะถือคติเลือดชิดนี้ค่อนข้างเข้มงวด ซึ่งไม่ใช่ว่าบางคนจะทำแบบนี้ได้(ลูกออกมาพิการพอดี ถ้ามียีนไม่ดี) และธรรมดาตระกูลไหนจะเป็นพราหมณ์หรือกษัตริย์ ในยุคสงครามหรือแย่งชิงดีชิงเด่นได้ ก็ต้องมียีนที่ดีกว่าบุคคลทั่วไปอยู่บ้าง อาหารการกินก็ดีสมบูรณ์เมื่อได้เป็น จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นกลุ่ม ยีน กรรมพันธุ์ที่โดดเด่นกว่า ได้

@@user-tf6jp2bf5e ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ ผมกำลังคิดอยู่เลยว่าจะไม่พิการหรอเพราะสืบเชื้อสายกันเอง

**ข้อมูลอ้างอิง** อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต จูฬวรรค สัมมาปริพพาชนิยสูตร อรรถกถาสัมมาปริพพาชนิยสูตรที่ ๑๓ บรรจบ บรรณรุจิ. พุทธประวัติ : ประสูติ-ตรัสรู้. กรุงเทพฯ:มหาจุฬาฯ. 2546 อัมพัฏฐสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ดร.พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ รวบรวมเรียบเรียง จัดพิมพ์โดย วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย The History of Buddhism in India - www.dhammathai.org/buddhism/india/index.php?fbclid=IwAR3OvgDxGrK84FPlxXrhypFNFwnHe1S48K7OD9mv1lIZbQ6CzIt-R7s9Bs0 ------------------------------------------ *รวบรวมข้อมูลนำมาเขียนบทความ/สคริปต์บรรยาย โดย The background - ความเป็นมา* หากผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยด้วยครับ. ------------------------------------------- อยู่ในช่องคำอธิบาย ผมจะใส่ไว้เสมอครับ

"พิสดาร" มีอีกความหมายแปลว่า กว้างขวาง, ละเอียดลออ (ใช้แก้เนื้อความ) เช่น ประวัติศาสตร์ฉบับพิสดาร วิจิตรพิสดาร คำว่า "พิสดาร" มาจากภาษาสันสกฤตว่า (วิสฺตาร) ส่วนภาษาบาลี คำว่า "วิตถาร" มาจาก (วิตฺถาร) ทั้ง ๒ คำนี้มีความหมายคล้าย ๆ กัน คำว่า "วิตถาร" อ่านว่า วิด-ถาน ไม่ใช่ วิด-ตะ-ถาน คำนี้มี ๒ ความหมายเหมือนกัน คือ (๑) กว้างขวาง, มากเกินไป, พิสดาร (๒) นอกแบบ, นอกทาง (เกินวิสัยปกติ)

แล้ว

วิตรถารมาก ลูกออกมาก็จะเอ๋อๆ เป็นออทิสติก

@@iz-dle4856 สมัยนั้นเรื่องแต่งกันเองไม่ได้แปลกพิสดารแบบสมัยนี้นะครับ ขอความกรุณาอย่าใช้คำหยาบคายว่าคนในสมัยก่อนเลยครับ การแต่งกันเองในสมัยก่อนมีทั่วโลก ไม่ใช่แค่ประเทศใดประเทศหนึ่งครับ

@@charinthjeejoo1480 ใช่ๆ แต่ตกใจบ้างเล็กน้อย..

@@charinthjeejoo1480 ประวัติศาสตรอีหยิปชนชั้นสูง แม่ลูก แต่งงานกันเอง เพื่อรักษาอำนาจไว้ ก้อมี

@@siritornuthentham2090 ใช่ มีอยู่แต่จำไม่ได้ว่าใคร

ในสมัยโบราณมาแล้ว วงศ์กษัตริย์ มักจะแต่งงานกันเองในเครือญาติ เป็นเรื่องปกติ

@@com0xxx มันโง่ครับอย่าไปยุ่งกับมันพวกไม่รู้จักหาข้อมูลแล้วโพสไปนั่นนี่ กูเกิลมีให้หามันก็ไม่ค้นคว้าปล่อยให้มันโง่ต่อไป

อรรถกถา เขียนแบบวิเคราะห์ ที่บัญทึกมาต่อๆกัน แบบบัญทึกประวัติศาตร์ ไม่ถูกต้องทั้งหมดครับ รอข้อมูลใหม่มาแย้ง

ก็อ่านตามสคริป ที่เขียนครับ

เค้าอ่านให้ฟังก็ดีแล้ว สำหรับเราคนแก่ตาไม่ดี ไม่ต้องอ่านเองขอขอบใจจ่ะ ที่อ่านให้ฟัง

3

เหมือนกันครับ.

ไม่เชื่อหรือไม่ชอบกันแน่

แม่ประนอม

55555

หิมะ+พันธ์ ก็คือ โลกสีเขียวต้นไม้ฟ้าฤดูหนาวแห่งอาศัยผสมเผ่าพันธุ์สัตว์ชั้นพิเศษ หิมะลัย = ภูเขาเยือกเย็นเทือกเขาไกรลาส

ศึกษาจากเอกสาร และฟังจากอาจารย์ท่านต่างๆ ครับ จากนั้นก็นำมารวบรวมแล้วเอามาเล่าครับ

หยาบ

เล่าได้ดีครับ ทุกเรื่องมีจริงมีเท็จเรื่องมันหลายพันปีมาแล้ว ประวัติศาสตร์ไทยหรือหลายไปประเทศผ่านมายังไม่ถึงร้อยปียังเพี้ยนและเถียงกันอยู่ เช่น เสื้อแดงหรือใครเผาเมืองกันแน่ ความจริงก็แฝงอยู่ในความเท็จนั่นแหละ อย่าซีเรียส

@@user-ry4zg2jd3k ต้องอ่านหนังสือที่พระพุทธเจ้า เล่าโดยพระองค์เองค่ะ ตถาคตค่ะ

@@chonthicha2064 มากๆเลยครับ