ฅนติดเล่า Podcast ตอน การเมืองเมื่อสถาปนารัชกาลที่ ๔ ทำไมขุนนางตระกูลบุนนาคสนับสนุนเจ้าฟ้ามงกุฎ 

ตระกูลบุนนาค ได้ชื่อว่าเป็นตระกูบที่ค้ำบัลลังก์มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นตระกูลที่ได้ชื่อว่าจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ และก็ประสานประโยชน์เพื่อให้คนในตระกูลก้าวหน้าเสมอมา บางช่วงยอมแม้จะเปลี่ยนศาสนา บางช่วงก็ถวายคนในตระกูลเข้าไปเป็นมเหสีนางใน ซึ่งก็เป็นกุศโลบายที่ลึกซึ้งเพราะหากโอรสที่เกิดจากมเหสีหรือนางสนมในตระกูลมีบุญวาสนาก็อาจได้เป็นใหญ่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ตระกูลนี้ปฏิบัติต่อเนื่องเสมอมา คือการไม่หักพล้าด้วยเข่า ไม่ตั้งคนในตระกูลของตนเข้าเทียบเคียงกษัตริย์แม้ด้วยอำนาจหน้าที่บางช่วงอาจเหนือกว่ากษัตริย์ด้วยซ้ำ เช่นช่วงร.4 และช่วงต้นร.5 แต่ใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป คืออยู่เป็นมาตลอด

ตระกูลบุนนาคยุคอยุธยา(รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช)-ยุคร.5ตอนต้น:ตระกูลใหญ่โตที่มีอำนาจการทางการเมืองระดับชาติเยอะมากๆจนไม่มีใครกล้าหือ ตระกูลบุนนาคยุคร.5ตอนกลางจนถึงยุคปัจจุบัน(ปี2567):ยังสามารถสืบลูกสืบหลานยาวนานจนถึงทุกวันนี้ ส่วนอำนาจทางการเมืองระดับชาตินั้น ทางตระกูลบุนนาคแทบไม่มีบทบาทแล้วคร้าบ โดยเน้นบทบาททางงานราชการ,งานธุรกิจและงานอื่นๆที่ไม่ใช่งานการเมืองน่ะคร้าบ

บุนนาคถือเป็นราชินีกูลโดยพูดลำลองคือ เป็นลูกหลานของน้าสาวของในหลวงรัขกาลที่ 2 ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจถึงความใกล้ขิดและในหลวงรัชกาลที่ 2 จะทรงไว้วางพระราชหฤทัย มารุ่นต่อๆมานี่ละมลที่จะห่างไปตามธรรมชาติ

ถ้าเรื่องรบขุนศึก ร3ต้องตระกูล สิงหเสนีย์ครับ สงครามเขมร ลาว เวียดนาม คนรบรบแทบตาย พอสิ้น ร3 กลายเป็นว่าอำนาจจริงอยู่กับฝ่ายบุนนาคซะงั้น สิงหเสนีย์ แทบจะไม่มีบทบาทเลยในช่วง ร4เป็นต้นมาโดน

การวิเคราะห์ในคลิปนี้มีกลิ่นอายการวิเคราะห์ของฝรั่งที่มองแบบการเมืองปะปนอยู่มากทีเดียว ในช่วงที่รัชกาลที่ 2 สิ้นพระชนม์ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ยังผนวชอยู่ ตอนนั้นมีการประชุมเสนาบดีและพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ที่ประชุมเห็นชอบให้อัญเชิญพระองค์เจ้าทับหรือกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ขึ้นเป็นกษัตริย์ ในกลุ่มราชวงศ์ผู้ใหญ่ที่เห็นชอบด้วยมีสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีพระราชมารดาเจ้าฟ้ามงกุฎร่วมอยู่ด้วย (ซึ่งสมเด็จพระศรีสุริเยนฯ นับว่าเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาด พูดจาฉะฉาน ชอบสนทนากับฝรั่ง) มีหรือพระราชมารดาจะไม่แจ้งเรื่องนี้แก่เจ้าฟ้ามงกุฎที่ผนวชอยู่ ดังนั้นก่อนถวายราชสมบัติแก่กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ตัวแทนเหล่าขุนนางได้ไปทูลถามเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ว่าปรารถนาราชสมบัติหรือจะทรงผนวชต่อ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ ตอบในทันทีว่าจะผนวชต่อคล้ายกับมีการทาบทามเรื่องนี้ไว้แล้ว เหตุนี้เองอาจจะทำให้รัชกาลที่ 3 เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วไม่มีการแต่งตั้งเจ้าจอมมารดาคนใดขึ้นเป็นอัครมเหสีเลย ทำให้พระโอรสทุกพระองค์มีสกุลยศเพียงพระองค์เจ้า และไม่เคยทรงเลื่อนอิสริยยศพระองค์เจ้าชายพระองค์ใดขึ้นเป็นเจ้าฟ้า เหมือนไม่ต้องการให้เป็นคู่เทียบกับเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ซึ่งเป็นเจ้าฟ้าโดยสายเลือดและสกุลยศ เหตุผลที่ที่ประชุมเสนาบดีและราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เห็นควรทูลเชิญเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ให้ลาผนวชมารับราชสมบัติ คือ คราวก่อนที่ประชุมได้เห็นชอบให้ข้ามเจ้าฟ้ามงกุฎฯ คราวนี้ราชสมบัติก็ควรเวียนกลับมาที่เจ้าฟ้ามงกุฎดังเดิม ถ้าจะมองอีกมุมคือเหล่าเสนาบดีไม่กล้ารักษาอำนาจไว้เองเพราะคิดว่าไม่สามารถรับมือภัยคุกคามจากชาติตะวันตกได้(ขณะนั้นพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษแล้ว) ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์โชกุนโยชิโนบุคืนอำนาจให้กับสมเด็จพระจักรพรรดิ(พ.ศ. 2411เพื่อให้ญี่ปุ่นมีเอกภาพในการปฏิรูปประเทศเพื่อรับมือการรุกรานจากชาติตะวันตก อันเป็นการสิ้นสุดยุคขุนศึก(ยุคโชกุน)และเริ่มต้นยุคเมจิ

ขอบคุณที่อัพคลิปอย่างต่อเนื่อง ยอดเยี่ยมค่ะ 🤍

รัก ร.5 ครับ ❤❤❤❤❤

ชอบฟัง

ขอบคุณครับคุณปิงปอง❤❤❤❤

ชิงราชบัลลังก์เงียบจากรัชกาลที่ 3

ต้องเอาแนวคิดเรื่อง right by bloodline แบบฝรั่งออกไปก่อนครับ สยามเหมือนกับหลายชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือ ใช้ระบบเอนกนิกรสโมสรสมมติคือ เหล่าเจ้านายและขุนนางบารมีม่กยินยอมให้เจ้านายองค์หนึ่งเป็นกษัตริย์ สิ่งที่ผมเขียนนี้สืบย้อนไปได้ถึงสมัยอยุธยาตอนต้นคือ ตั้งแต่รัชกาลที่ 2 สมเด็จพระราเมศวร เห็นได้ชัดตอนราชวงศ์บ้านพลลูหลวง ตั้งแต่เหตุสิ้นรัชกาลพระเจ้าท้ายสระ หรือเหตุเจ้าสามกรมเมื่อสิ้นพระเจ้าบรมโกศ เป็นต้น สังเกตได้ว่าถ้าไม่ยอมกันก็เกิดสงครามกลางเมืองอย่างตอนสิ้นรัชกาลพระเจ้าปร่สาททอง พระนารายณ์ หรือพระเจ้าท้ายสระ โดยทั่วไปคือการเลือกเจ้านายที่มีสิทธิคือ วังหน้า วังหลัง (ซึ่งมีกำลังไพร่) หรือเจ้าฟ้าหน่อพระเจ้า (ประสูติจากพระมเหสี - เช่นพระเจ้าอุทุมพร) หรือพระโอรสพระญาติที่มีปรีชาสามารถ (เช่น พระมหาธรรมราชา) ระบบนี้ใช้มาจนถึงเมื่อทูลเชิญรัชหาลที่ 5 ขึ้นทรงราชย์

คลิปก่อนๆว่าสนุกแล้ว คลิปนี้ก็สนุกเช่นกันค่ะ แอดมินสรุปตอนท้ายก็ดีมากค่ะ