สวดมาแบบนี้พี่ก็หลอนสิครับ อจินไตย ft.Herester TV,HambyBear  

สำหรับผมนะครับ *พี่พากย์ได้สุดยอดมากครับ*

@@Disapat.Footage ขอบคุณนะครับบ

Fcครับ

FC ซีรีย์ BACK ROOM ฮาฟ

😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮😮❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤🎉❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤🎉❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤🎉

เขาว่า โอปปาติกะ ก็คือ อจินไตย (จินไตย=พึงคิดพิจารณา อะ+จินไตย=ไม่พึงคิดพิจารณา) หรือก็คือสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญ

มีเหตุผลครับ

จริงฮะคุณพูดได้มีเหตุผลฮะ

F

Mandela Catalogue ชัดเจน

the wok

หลังจากที่เอาชนะ hulk hogan ได้

ผมฝันร้ายแน่เลย

55เดอะร็อกยิ้มกระชากใจจริงๆรู้สึกเกเรเลย

​@@Boiled_whaleผมก็ฝันร้ายนะ

ประเภทที่2หน้าตาเหมือนประเภทอื่นๆครับแค่ว่าจะโจมตีทางกายภาพ(ประเภทอื่นๆจะโจมตีทางจิตรวิทยา

ผีกะอาละวาดที่แสนตอ ด้วย

จริง😂😂😂

ปืนปลอมครับ

เมื่อเด็กกวน บาทาพี่เขามากเกินไป นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้น

🤫🧏👍🤔🫵✅

สักพักไม่ใช่อจินไตยแต่เป็นแม่มาบอกให้ไปตากผ้า5555

ก็พี่ใส่เองไง 555+

@@TheGamingZhevass FCZhevass

อันนี้จริง😂😂ขำลั่นเลย😂😂😂😂😂😂

ผมไม่รู้สึกขำ

เห้ย

​@@Kamoi_yahoo007 เห้ย อะไรครับ??????

​@@pun5419เห้ย!

ปี 2023 27 ตุลาคม นี้วันฉาย Five night at freddy ฉบับคนแสดง

FNAF = SCOOBY-DOO

เดี๋ยวจะเมมใว้นะครับ

กลัวไรอะนี้ปี2023 ปืนมีไว้ทำไรยิงแม่ง😂😂

หลอนแดก😂😂😂

​@@un-ch2469 ใช่😂😂😂

ชั่วร้ายเเค่ไหน ถ้าเจอกองทัพพี่กันของเราก็กระจุ้ย5555🇺🇸🦅

ในธรรมชาตินี้แล้ว เราทุกคนคงเคยเห็นการถือกำเนิด กระบวนการเกิดของสิ่งมีชีวิตมากมาย แต่เมื่อมามองโดยเหตุและผลแล้ว การเกิดเหล่านั้นก็พึงคล้ายกันหมด ก็คือ มีสิ่งมีชีวิต ที่เกิดจากครรภ์ และสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากไข่ แต่ในสมัยอดีตเมื่อนานมาแล้วในสมัยพุทธะก็ได้มีการกล่าวถึงการเกิดที่นอกเหนือจากความเข้าใจทางรูปธรรมของมนุษย์ สิ่งนั้นก็คือ โอปปาติกะ ตามคำสอนในพระไตรปิฎก โอปปาติกะ คือสิ่งมีชีวิตจำพวกหนึ่ง ที่ไม่ต้องอาศัยการเกิดจากครรภ์ หรือจากไข่ ไม่อาศัยแม้กระทั่งกาล(เวลา) ในการเติบโต เพราะสิ่งมีชีวิตนี้ เกิดขึ้นมา ก็อยู่ในสภาพตัวเต็มไว และจะคงอยู่ในสภาพนั้น โดยไม่มีความเคลื่อนตัว คือ ไม่แก่ ไม่หนุ่ม เรียกได้ว่า เกิดมาอยู่ในรูปพรรณไหน ก็คงอยู่ในรูปนั้นจนตาย ถึงจุดนี้หลายคนก็เอะใจ สิ่งมีชีวิตจำพวกนี้ตายได้ด้วยเหรอ ใช่ครับ สิ่งเหล่านี้ยังคงไม่พ้นจากมัจจุราช การตายของโอปปาติกะ เป็นการตายที่แปลกและน่าอัศจรรย์เมื่อมองในมุมของคนที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยศึกษา หรือไม่รู้ว่ามีจริง เมื่อตายแล้ว โอปปาติกะ จะไม่มีซากให้เห็น เรียกได้ว่า ถ้าตาย ก็หายวับไปเลย และที่สำคัญ ทำไมเราถึงไม่รู้ ไม่เห็นถึงการมีอยู่ของสิ่งเหล่านั้นเลย (จริงๆก็มีครับ แต่ส่วนน้อยที่เห็น) เพราะสิ่งเหล่านี้ จะไม่ปรากฎชีวิตในรูปกายหยาบ เพราะไม่มีต้นกำเนิดให้เป็นกาย จึงไม่มีกาย ต้นกำเนิดก็คือ กระบวนการทางครรภ์ และทางไข่ นั่นแหละครับ แต่น่าสนใจตรงที่ พุทธะ ซึ่ง เป็นมนุษย์ กลับสามารถเห็นการมีอยู่ของสิ่งเหล่านั้นได้ หรือจริงๆแล้ว เราทุกคนก็สามารถเห็นได้ แต่แค่ไม่รู้ว้า ใช้อะไร ไปเห็น?

ทั้งนี้ โอปปาติกะ ยังถูกแบ่งออกได้หลายรูปแบบ และจำแนกได้3ประเภทใหญ่ๆคือ โอปปาติกะฝ่าย สุขคติ โอปปติกะฝ่าย ทุคติ และยังมีโอปปาติกะที่เกิดท่ามกลางระหว่างสองขั้ว คือ อยู่ในภพที่มีสุคติและทุคติ โอปปาติกะฝ่ายสุคติ ตามภาษาเรียกของคนทั่วไปก็ฝ่ายบุญก็ได้ เพราะฝ่ายสุคติ เป็นฝ่ายที่อยู่ในภพที่มีความเป็นสุข มากกว่า ความเป็นทุกข์ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ก็จะมีตามนี้ เทวดา, พรหม เป็นต้น โอปปาติกะฝ่ายทุคติ มี สัตว์นรก และยังมีเปรต อสูรกาย โดยที่ สิ่งมีชีวิตจำพวกนี้ เป็นโอปปาติกะ ที่ยังไม่มีอำนาจของบาปมากพอที่จะทำให้ไปเกิดในนรก จึงต้องอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ โดยจะแสดงให้เห็นในรูปแบบของกึ่งกายหยาบกึ่งละเอียด ทำให้สัมผัส5อย่างของมนุษย์ยังพอสัมผัสถึงพวกเขาได้ เพราะเปรตยังคงอาศัยในภพมนุษย์ ที่ยังคงมีความทุกข์ ทุกข์จากเจ็บและหิวโหยอยู่ ทำให้บางครั้ง คนเราก็จะเห็นพวกเขามาขอธาตุแห่งสุคติ หรือบุญนั่นเอง ส่วนโอปปาติกะ ที่อยู่ท่ามกลางสองขั้ว คือทุคติ และสุคติ ก็มี มนุษย์บางจำพวก ตามความเชื่อในไทย ก็คงจะมีชาวลับแลที่จัดอยู่ในนั้น 55 โดยที่มนุษย์ประเภทนี้ จะเกิดขึ้นในช่วงแรกที่มีการถือกำเนิดของแต่ละวัฏจักร และยังมีกล่าวอีกว่า มนุษย์จำพวกนี้ เดิมก็เป็นสิ่งมีชีวิตประเภท พรหม ลงมาคลุกคลีกับธาตุดิน ซึ่งเป็น1ในสี่ธาตุหลักๆของสรรพชีวิตที่เกิดตามกาแลคซี่หรือจักรวาล ธาตุนั้นเรียกว่าง้วนดิน ซึ่งเป็นจุดสนใจและล่อลวงให้เหล่าพรหมลงมาปะปน ทำให้จากพรหมที่ไม่มีกายหยาบ มีเพียงแค่กายทิพย์ เมื่อสัมผัสหรือชิมง้วนดินนั้นก็ทำให้มีกายหยาบเกิดขึ้น กลายเป็นว่า เป็นพรหมอยู่ดีๆจู่ๆก็วาปมาเกิดเป็นมนุษย์ที่มีร่างกายให้เห็นเลย และมนุษย์จำพวกนี้ ก็คงจะมีอยู่จริง และอาจจะไม่ได้มีแค่ในดาราจักรหรือเอกภพของเราแห่งเดียว เพราะพระไตรปิฎกยังมีการกล่าวถึงจักรวาลเอกภพต่างๆและมีการเปรียบเทียบว่า โลกเราก็เปรียบดั่งลูกมะขามป้อมในกำมือของพุทธะ ซึ่ง นอกจากในกำมือนั้น ก็ยังคงมีลูกมะขามป้อมอื่นๆอีกมากมาย ผมชอบการเปรียบเทียบแบบนี้มาก โดยการนำสิ่งเล็กๆ ที่เราคิดว่าไม่ค่อยสำคัญ มาเปรียบให้เห็นถึงความกว้างใหญ่ของสรรพสิ่งอีกมากมาย ที่เกิดขึ้นและดับลง ไม่จบไม่สิ้น

มาคิดดูอีกทีก็น่าเศร้านะครับ ตรงที่ พอลองศึกษาด้านเรื่องภพแล้ว ว่า ระยะเวลาของแต่ละภพนั้นไม่เท่ากัน ถึงรู้เลยว่า ทำไม เทวดา ถึงไม่เคยกลับมาบอกคนรู้จักเลย เพราะ 1วันของสวรรค์ภพ เท่ากับ100ปีของภพมนุษย์ เมื่อการนั้น เทวดาจะมาเยี่ยมเยียนภพมนุษย์ มาเยี่ยมคนที่คนเคยรู้จัก จากเย็นถึงเช้ารุ่นขึ้นของเทวดา พอเดินทางมาถึง ก็พบว่า มนุษย์ที่เคยรู้จัก ตายจากไปหมดแล้ว และยังมีกล่าวอีกว่า เมื่อได้กลายเป็นเทวดาแล้ว ยากที่จะกลับมาในภพมนุษย์ในรูปเทวดาอีก เพราะสัมผัสของเทวดากับมนุษย์จะไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะทางตา เทวดาก็มองได้กว้างขวาง ทางหู ก็ฟังได้ไกล ทางจมูกก็ได้กลิ่นที่ชัดเจนขึ้นเป็นเท่าๆ ทำให้เทวดา ไม่สามารถลงมาหาหรืออยู่กับมนุษย์ได้เป็นเวลานาน เพราะสัมผัสทิพย์นั้นให้ความชีดเจนและรุนแรง ถ้าเจอมนุษย์ที่มีอารมณ์โกรธ หรือมีตะบะร้อนเป็นธาตุไฟ ก็จะรู้สึกร้อนอย่างที่มนุษย์ไม่รู้สึกจากคนด้วยกันเองเลย หรือแม้แต่กลิ่น สังขารของมนุษย์มีกลิ่นเหม็นตั้งแต่ต้นจนจบ แม้จะมีกลิ่นหอมของน้ำหอม ก็ไม่อาจกลบกลิ่นความเสื่อมสภาพในสังขารให้เทวดาไม่ได้กลิ่นได้ แต่ก็มีเทวดามากมาย ที่มีขันติกับสิ่งเหล่านั้น เพราะในโลกภพมนุษย์ ยังคงมีสิ่งที่น่าสนใจและสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเทวดาต้องคอยพึ่งพาอาศัยเช่นกัน

★InOwnOpinion,ItMightBeMeanings-Worthless?Unimaginable?NothingGood?NonSense?-ForTheWord"อจินไตย"⁉️🤯 ★ButFor"โอปปาติกะ"NotSureThat"สัมภเวสี"CouldHaveTheSameDefinition?OrSomeOthersCouldBeBetterInstead⁉️👹

555+

หลอนจริง

กดตรงลูกศรในแป้นรึป่าวคะ

มึงไปดูมาสค์ไรเดอร์ไฟซ์เดอะมูฟวี่มากเกินไปแล้ว

น่าสนใจแหะ ผู้แปลกแยกก็น่าสนใจเหมือนกันนะ

👀