สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มใช้งาน DaVinci Resolve สำหรับผู้เริ่มต้น EP 01 

ขอบคุณครับ

ขอบคุณครับ

OK. ครับ

ในฐานะผู้ทำวีดีโอแนะนำการใช้ DaVinci Resolve ก็ดีใจ และ ภูมิใจครับ ที่ผู้ชม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เริ่มต้น ที่เข้าใจ และ นำไปประยุกต์ใช้งานได้จริง ขอบคุณ สำหรับข้อมูลที่ให้มา สำหรับการทำวีดีโอของผมครับ

ซื้อ Final Cut Pro มาแล้ว ให้เรียนรู้การใช้งานไปก่อนเลยครับ เสียตังค์ไปแล้วต้องใช้ครับ ถ้าไม่ใช้เสียดายแย่เลย เพราะว่า Final Cut Pro เป็นโปรแกรมตัดต่อที่ดีมากตัวหนึ่งเลยที่เดียวครับ ส่วน DaVinci Resolve ถ้ามีเวลาก็ฝึกซ้อมเอาใว้เป็นโปรแกรมเสริมได้ครับ ไม่ใช่ว่า DaVinci Resolve ไม่ดีนะครับ แต่ควรใช้โปรแกรมที่คุณซื้อมาให้คล่องก่อน ส่วน DaVinci Resolve จะฝึกใช้เมื่อไรตอนไหนก็ได้ เพราะฟรีครับ การที่เราใช้งานเป็นได้หลายๆ โปรแกรมก็จะเป็นประโยชน์ครับ โปรแกรมแต่ละตัว มีข้อดี และ ข้อด้อยที่ต่างกัน ก็ลองศึกษาการใช้งานดูครับ เมื่อลองใช้งานดูแล้วสักพัก คุณก็จะรู้ว่า คุณถนัดกับโปรแกรมตัวไหนมากกว่ากันครับ

@@jeab47tj ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ🫡🫡 พี่มีคลิปสอนFinal แนะนำมั้ยครับ😇

ต้องขออภัยด้วยครับ ที่ผมไม่มีคลิปแนะนำการใช้งานของ Final Cut Pro เพราะผมใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ครับ แนะนำให้หาใน RU-vid ครับ จะมีคลิปสอนการใช้ Final Cut Pro อยู่เยอะเลยที่เดียวครับ

ถ้าใช้จนคุ้นชินแล้ว จะสนุกมากเลยครับ ทั้งตัดต่อ และ แต่งสีวีโอ

ยินดีครับ

ขนาดนั้นเลยหรือครับ ต้องขออภัยด้วยครับ

จากข้อมูลที่ให้มา วิธีแก้ไขปัญหาเบื่องต้นมีดังนี้ครับ 1. ให้เช็คไฟล์วีดีโอที่มีปัญหา ว่ามี resolution เป็นเท่าไร โดยการคลิกที่ไฟล์วีดีโอนั้น จะคลิกไฟล์ที่อยู่ใน timeline หรือ คลิกไฟล์ที่อยู่ใน media pool ก็ได้ครับ จากนั้นให้ไปคลิกที่แทป metadata (ที่อยู่ตรงมุมขวาด้านบน) แล้วให้ไปดูที่ค่า resolution (จะอยู่ทางขวาสุด) ยกตัวอย่าง เช่น 4K = 3840x2160, full HD = 1920x1080, HD = 1280x720 เป็นต้น แล้วให้เราก็จำค่านั้นไว้ครับ * หมายเหตุ ถ้าค่า resolution ที่เห็นเป็นค่าแปลกๆ แตกต่างจากด้านบน อันนี้ก็เป็นสาเหตุอันหนึ่ง ที่ทำให้เกิดขอบดำด้านซ้ายขวาได้เหมือนกันครับ * 2. ต่อไปก็ให้ไปคลิกที่รูปเฟือง (อยู่ที่มุมขวาด้านล่าง) เพื่อเช็คการตั้งค่า project ของเราว่า ตั้งค่า resolution เป็นเท่าไร ให้ไปที่แทป master setting แล้วดูค่า timeline resolution ว่ามีค่าตรงกับไฟล์วีดีโอของเราหรือเปล่า ถ้าค่า resolution ของไฟล์วีดีโอ กับ project setting ตรงกันทุกค่า หรือ มีค่า resolution เหมือนกับค่าด้านบนอันใดอันหนึ่ง รับรองว่าไม่มีขอบดำซ้ายขวา แน่นอนครับ แต่ถ้าค่าไม่ตรงกัน ก็ไม่ได้หมายความว่า ภาพจะเกิดขอบดำซ้ายขวา มันขึ้นอยู่กับ aspect ratio (สัดส่วนภาพ) ด้วยครับ 3. เวลา export ให้เช็คที่ resolution ด้วยว่าตรงกับ resolution ของ project setting หรือไม่ (ค่าต้องตรงกันครับ) ถ้าไม่ตรงก็ไปพิมพ์แก้ครับ ถ้าเช็ค resolution แล้วทุกค่าตรงกันหมด ก็ไม่น่าจะมีขอบดำซ้ายขวาแล้วครับ 4. ให้เช็ค timeline setting โดยไปที่ media pool ใน media pool จะมีไฟล์ต่างๆอยู่มากมาย ให้เลือกที่ timeline (ที่อยู่ใน media pool) คลิกขวา เลือกที่ timeline แล้วก็ timeline setting จากนั้นก็ไปที่แทป format แล้วดูที่ค่า timeline resolution ว่าตรงกับค่าที่ตั้งไว้ใน project setting หรือไม่ ค่าต้องตรงกันครับ วิธีเช็คอีกวิธีหนึ่งคือ (ในกรณีนี้ไฟล์วีดีโอต้องอยู่บน timeline แล้ว) 1. ให้เลื่อน playhead ไปที่วีดีโอบน timeline ที่เราจะเช็ค จากนั้นก็คลิกที่วีดีโอบน timeline ให้ active (จะมีกรอบสีแดง แสดงอยู่บนวีดีโอ) 2. ต่อไป ให้ไปคลิกที่ On-screen controls อยู่ด้านล่างซ้ายของ timeline viewer(จอแสดงภาพ) จะเป็นสัญญาลักษณ์รูปสี่เหลี่ยม เมื่อคลิกแล้ว จะแสดงกรอบสี่เหลี่ยมสีขาว ล้อมรอบวีดีโอของเรา แล้วดูว่าขนาดวีดีโอของเรา มีขนาดพอดีกับ timeline viewer หรือเปล่า ถ้าพอดีกันก็จะไม่มีขอบดำซ้ายขวาแน่นอนครับ แต่ถ้าไม่พอดีกัน ให้ไปคลิกที่แทป inspector (อยู่ที่มุมขวาด้านบน) ไฟล์วีดีโอบน timeline ต้องยัง active อยู่นะครับ คือ มีกรอบสีแดง แสดงอยู่บนวีดีโอ แล้วให้ไปที่ Retime and Scaling แล้ว double click ต่อจากนั้นไปคลิกที่ Scaling แล้วเลือก Fill ครับ ขอบดำซ้ายขวา ก็จะหายไป หรือ จะใช้วิธีย่อขยายก็ได้ครับ สรุป การที่เกิดขอบดำด้านซ้ายขวา เกิดจาก resolution หรือ aspect ratio (สัดส่วนของภาพ เช่น 1:1, 4:3, 3:2 หรือ 16:9) ไม่ตรงกัน ถ้าสัดส่วนของภาพ (aspect ratio) ไม่ตรงกัน ก็ต้องไปแก้ไขที่วีดีโอบน timeline โดยการขยายให้เต็ม หรือใช้ Fill ครับ อีกอย่าง ตามdefault ของโปรแกรม เค้าจะ auto ทำให้ขนาด และ สัดส่วนภาพวีดีโอของเรา มีขนาดเท่ากับ project setting ที่เราตั้งค่าไว้เสมอ ไม่ว่าเราจะตั้งค่าเป็น 4K, 1080 หรือ 720 ก็ตาม ถ้าไฟล์วีดีโอบน timeline ของเรามีขนาดไม่เท่ากับขนาดของ project setting ที่เราตั้งค่าไว้ จะเล็กกว่าหรือใหญ่กว่าก็ตาม เค้าก็จะ auto ให้เต็มจอครับ แต่ถ้าสัดส่วนภาพ (aspect ratio) ไม่ตรงกัน เค้าจะ auto ให้แค่ด้านบน และ ด้านล่างเท่านั้น ส่วนด้านข้างซ้ายขวา เค้าจะไม่ auto ให้ครับ ปัญหานี้จะเกิดกับการใช้ภาพนิ่งบน timeline ซะเป็นส่วนใหญ่ครับ วิธีแก้ไขปัญหา ตาม link ด้านล่าง ช่วง 34:33 ครับ ru-vid.com/video/%D0%B2%D0%B8%D0%B4%D0%B5%D0%BE-d1exJ-PuDq0.html และที่ห้ามลืมอีกอย่างคือ ตอน export ก็ต้องใช้ค่าให้ตรงกับ project setting ครับ หวังว่าคงช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง ไม่มากก็น้อยครับ

@@jeab47tj ลองแก้แล้วเป็นที่ตัว aspect ratio จริงๆด้วยค่ะ พอปรับเป็น 1:3 แล้วภาพไม่ยืดเลย ขอบคุณมากๆนะคะที่อธิบายละเอียดมากๆ และทำให้เราได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นเยอะเลยค่ะ 🙏🙏

ขอบคุณครับ

ขอบคุณครับ

ขอบคุณครับ

ยินดีครับ

ยินดีครับ

ขอบคุณครับ

ยินดีครับ

ขอบคุณครับ

ด้วยความยินดีครับ

ขอบคุณครับ

เวลาเรา render เราต้อง render เป็นไฟล์ original ครับ เพื่อให้ได้คุณภาพสูงสุด วิธีการ render ให้เป็นไฟล์ original ไปที่เมนูทางด้านบน แล้วคลิกที่Playback ต่อไปให้คลิกที่ Use Proxy Media If Available เอาเครื่องหมายถูกออกครับ ต่อจากนั้นก็ไป Export ก็จะได้ original ไฟล์ ครับ เวลาเราตัดต่อ เราจะใช้ Proxy เพื่อให้การ Playback ราบรื่น โดยการคลิกที่ Use Proxy Media If Available ให้มีเครื่องหมายถูกแสดง เวลาเรา Exprot หรือ เวลาตกแต่งสีวีดีโอ ในหน้า Color เราจะใช้ Original ไฟล์ โดยคลิกเอาเครื่องหมายถูก ออก ครับ (สามารถสลับไป สลับมาได้ครับ)

ถ้าทำพวก proxy หรือ optimize media ก็น่าจะใช้ได้ไม่มีปัญหาครับ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเครื่องคอมฯด้วยครับ แล้วอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้า Project ของเรามีความยาวมากๆ เวลาเรา playback ในตอนแรกๆ ก็อาจจะราบรื่นปกติ แต่พอ playback ไปนานๆ ก็จะมีอาการ สะดุด หรือ กระตุกบ้าง อันนี้เป็นเรื่องปกติครับ ต้องไปลองทำดูครับ ว่าจะได้หรือไม่ครับ ส่วนเรื่อง Project ที่ทำแล้ว ถ้าเราไม่ใช้อีกต่อไป ก็ลบออกไปเลยครับ เพราะว่าจะกินพื้นที่ Hard disk ค่อนข้างมาก สำหรับการตัดต่อ โดยทำ proxy หรือ optimize media ผมเคยไม่ลบ Project จน SSD 500 GB ของผมเต็มครับ

ยินดีครับ

ยินดีครับ

ขอบคุณครับ ต้องขออภัยด้วยครับ ผมไม่มีดิสคอสครับ (ดิสคอสคืออะไรครับ)

ถ้าผมแนะนำ ผมแนะนำให้ใช้เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดครับ DaVinci Resolve 18

ด้วยความยินดีครับ

ยินดีครับ

สำหรับ Spec เครื่องที่แจ้งมา ผมคิดว่าไม่เพียงพอต่อการใช้งาน DaVinci Resolve 17 ครับ Specเครื่องขั้นต่ำ ในการใช้ DaVinci Resolve 17 มีดังนี้ครับ Minimum system requirements for Windows • Windows 10 Creators Update. • 16 GB of system memory. 32 GB when using Fusion • Blackmagic Design Desktop Video 10.4.1 or later • Integrated GPU or discrete GPU with at least 2GB of VRAM • GPU which supports OpenCL 1.2 or CUDA 11 • NVIDIA/AMD/Intel GPU Driver version - As required by your GPU • A minimum NVIDIA driver version of 451.82 is recommended.

@@jeab47tj ขอบคุณมากค่ะ

อาการตามที่กล่าวมา น่าจะเป็นที่ การ์ดจอครับ ผมดู spec ของ GT710 แล้ว มี memory size = 2GB memory type = DDR3 Maximum Resolution = HD (1280X720) ก็คงจะน้อยเกินไปสำหรับการใช้ โปรแกรมตัดต่อที่เป็น professional ครับ หมายเหตุ *** ผมไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง computer ครับ รู้แค่พื้นฐานคร่าวๆ เท่านั้น ***

@@jeab47tj ครับผม ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ ผมได้ความรู้จากช่องของพี่เยอะเลยครับ ตอนนี้อยากทำคลิปให้ดีกว่าเดิมครับเลยฝึกการตัดต่อเพิ่มครับ คงต้องอัพเกรดคอมแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับที่เข้ามาตอบ ขอให้ช่องพี่มีคนเข้ามาติดตามเยอะๆนะครับ 🙏🙏🙏❤️❤️❤️

ยินดีครับ

ทุกครั้งที่เราสร้าง Project ใหม่ เราต้องเซ็ทค่า Project ของเรา ให้ตรงกับความต้องการของเราครับ ยกตัวอย่าง ถ้าวีดีโอที่เราบันทึกมาส่วนใหญ่ มีค่า frame Rate และ Resolution เป็นเท่าไร ก็เซ็ท Project ให้เป็นค่านั้น หรือว่า เราอยากจะ Export เป็นค่า Frame Rate และ Resolution เท่าไร ก็เซ็ท Project ให้เป็นค่านั้นครับ ** หมายเหตุ เราควร Export ให้มีค่าตรงกับ Project ที่เราเซ็ทไว้ เพื่อให้ได้ ไฟล์คุณภาพดีครับ

ถ้าหมายถึง Database เวลาเราสร้าง Project ใหม่ เราไม่ต้องเซ็ท หรือ สร้างใหม่ครับ นอกจาก Harddisk เราเต็ม หรือ เราอยากจะเปลี่ยนที่เก็บ Project ในที่ใหม่ เราก็สามารถสร้าง Database ขึ้นมาใหม่ได้ครับ

ถ้าคุณ record วีดีโอมาเป็น 60 fps ไม่มีทางที่วีดีโอของคุณ จะเปลี่ยนแปลงค่า frame rate ได้เองแน่นอนครับ จากที่คุณบอกมา ลากไฟล์ลงในโปรแกรม แล้วกดข้อมูลดู มันเป็น 29.97 fps อันนี้เป็นไปไม่ได้ แน่นอนเลยครับ ยกตัวอย่าง คุณสร้าง Project ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น frame rate ใดก็ตาม หรือ สร้าง Timeline ขึ้นมา ซึ่ง frame rate ไม่ตรงกับ Project ที่คุณตั้งค่าไว้ (วิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง) ไม่ว่า Project หรือ Timeline ของคุณจะตั้งค่า frame rate อะไรก็ตาม วีดีโอของคุณก็จะไม่มีทาง ที่จะเปลี่ยนแปลงค่า frame rate ได้เองครับ (ยกเว้นถ้าคุณ Export ออกไปแล้ว) ดังนั้น ก่อนที่คุณจะทำการตัดต่อ ผมแนะนำให้คุณ ไปเช็คที่ไฟล์วีดีโอ original ของคุณก่อนว่า มี frame rate ที่ 60 fps จริงหรือไม่ โดยการ click ขวาที่ไฟล์วีดีโอ แล้วไปที่ Properties แล้วดูตรงแทป details ก็จะแสดงค่า frame rate ของวีดีโอครับ ถ้าวีดีโอของคุณมีค่า frame rate ที่แปลกๆ ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ครับ ส่วนมากเกิดจาก การที่ record วีดีโอ จากโทรศัพท์มือถือครับ ถ้าวีดีโอ original ของคุณ เป็น 60 fps แน่นอนแล้ว ก็เช็คที่ timeline โดยการ click ที่วีดีโอที่ต้องการ ให้ active จนมีกรอบสีแดง แสดงที่คลิปนั้น แล้วไป click ที่แทป matadata ดูค่า frame rate ครับ ตามปกติแล้ว frame rate จะต้องไม่เปลี่ยน ไม่ว่าคุณจะตั้งค่า Project หรือ Timeline เป็นค่าอะไรก็ตาม แต่ถ้า frame rate เปลี่ยนไปแบบเดิมอีก อันนี้ก็ผิดปกติแล้วครับ อาจเกิดจากไฟล์ original มีอะไรที่ผิดปกติ หรือ เป็นที่โปรแกรมไม่สมบูรณ์ครับ ส่วนวิธีแก้ไขเบื้องต้น ให้ลอง record วีดีโอ 60 fps มาใหม่ แล้วลองเช็คดูครับ ถ้าเป็นที่โปรแกรม ก็ลองติดตั้งโปรแกรมใหม่อีกครั้งครับ วิธีแก้ไขเบื้องต้นก็มีเพียงเท่านี้ครับ

@@jeab47tj ขอบคุณคำแนะนำครับผมลองเปลี่ยนไฟล์จาก mp4 เป็น mov แก้ปัญหาได้ 60 เฟรมแล้วครับไม่รู้เป็นเพราะอะไร

เราสามารถย้าย Project ไปที่ databaseใหม่ ได้ครับ คือย้ายไปทั้ง Footage, Photo, Music และ mediaทั้งหมด ที่อยู่ใน Project ได้ โดยการ Export Project Archive ครับ ส่วนวิธีการย้าย ต้องอธิบายกันนานเลยครับ ผมเลยแนบ link วิธีทำ ที่ฝรั่งเค้าทำไว้ (เป็นภาษาอังกฤษ) ด้านล่างครับ Link วิธีการย้าย Project ru-vid.com/video/%D0%B2%D0%B8%D0%B4%D0%B5%D0%BE-8uTlVtWXcP8.html ru-vid.com/video/%D0%B2%D0%B8%D0%B4%D0%B5%D0%BE-YbxF6XSWIKY.html

@@jeab47tj ขอบคุณครับ มีประโยชน์มากๆเลย 👍

@@jeab47tj ทำ ซี่รี่ davinci ออกมาเยอะๆเลยนะครับ ผมกดติดตามแล้ว 555

Timeline ไม่จำเป็นต้องเป็น 4K ครับ Timeline จะตั้งค่าให้เป็น resolution เท่าใดก็ได้ แล้วแต่ความต้องการของเราครับ เช่น 720, 1080, 2K หรือ 4K ก็ได้ครับ จากคำถาม ที่ถามมา แสดงว่าคุณยังสับสนในเรื่องเกี่ยวกับ การตั้งค่า resolution บน timeline ผมแนะนำให้ไปทบทวน ความรู้พื้นฐานเรื่อง resolution และ frame rate ครับ ถ้าสนใจก็ตาม link ด้านล่างครับ ru-vid.com/video/%D0%B2%D0%B8%D0%B4%D0%B5%D0%BE-__cbhRvEIHw.html

ดู spec แล้ว OK เลย ครับ แต่ถ้าให้ผมแนะนำ ถ้าจะให้เป็นมาตราฐานในปัจจุบัน RAM ควรจะเริ่มต้นที่ 16 GB สำหรับงานตัดต่อครับ ส่วนอีกเรื่องคือ ควรเพิ่ม SSD แบบ SATA 3 ซัก 512 GB ก็ได้ครับ เอาไว้เก็บ project (สำหรับการสร้าง New database ครับ) เพราะถ้าเรามีการทำ optimized media บ่อยๆ Drive:C ซึ่งเป็น Local database ซึ่งเอาไว้เก็บ project ต่างๆ ของเราจะเต็มเร็วไวมากครับ แต่ถ้างบประมาณหมดแล้ว ก็ใช้แบบนี้ไปก่อนครับ

@@jeab47tj ผมลงโปรมเเล้ว เปิดใช้งานไม่ได้ครับ ขึ้นโหลดค้างที่หน้าจอครับ ปวดหัวเลย

Windows Now, let’s take a peep at the system requirements if you’re using Windows: Windows 10 Creators Update 16 GB of system memory 32 GB of memory if you plan on using Fusion Blackmagic Design Desktop Video 10.4.1 or later Integrated GPU or discrete GPU with at least 2GB of VRAM GPU which supports OpenCL 1.2 or CUDA 11 - ( I had to look up CUDA) NVIDIA/AMD/Intel GPU Driver version - as required by your GPU A minimum NVIDIA driver version of 451.82 is recommended (if you’re not sure what driver version you have, follow along NVIDIA’s instructions to find out) ดูตามข้อมูลความต้องการของโปรแกรม น่าจะเป็นที่ RAM น้อยกว่าความต้องการของโปรแกรม DaVinci Resolve ครับ

@@jeab47tj ขอบคุณคุณ​พี่มากๆเลยครับสำหรับข้อมูล บางที่มีเวลาหาข้อมูลน้อยมาก แล้วใช้โปรแกรมไหนดีครับ ขอคำแนะนำอีกรอบครับ

เท่าที่ผมหาข้อมูลมา ก็มีโปรแกรมฟรี เช่น 1. Lightworks 2. VideoPad 3. HitFilm Express 4. VSDC Free Video Editor 5. OpenShot 6. KineMaster โปรแกรมด้านบนทั้งหมดนี้ ใช้ computer ที่มีสเปคไม่แรงก็สามารถตัดต่อได้ครับ เพราะไม่ใช่ professional software บางโปรแกรมอาจจะมีลายน้ำ ต้องลองเลือกดูครับ ผมก็ไม่เคยใช้โปรแกรมที่อยู่ด้านบน ซักโปรแกรมครับ สำหรับวิธีการใช้งาน คงต้องลองโหลดมาฝึกใช้ดูครับ

ขอบคุณครับ

ยินดีครับ

@@jeab47tj อยากให้อัปเดท V.17 ว่ามีอะไรเพิ่มหรือน่าสนใจยังไง ขอบคุณครับ

สำหรับ version 17 (Free version) การเปลี่ยนแปลงที่ผมชอบคือ Color Management ที่เราสามารถเลือกเป็น DaVinci YRGB Management ได้ ซึ่งจะรองรับ Color Space ที่กว้างมากๆ เหมาะสำหรับ ปรับแต่งสีของไฟล์ที่เป็น Log & HLG (ซึ่งตอนนี้ผมยังไม่มีกล้องที่สามารถ recode ไฟล์ประเภทนี้ได้) ในหน้า Color page ก็จะมีเครื่องมือ วงล้อสีแบบ HDR และ Color Warper เพิ่มขึ้นมา ทำให้เราใช้งาน ปรับแต่งสีได้ละเอียดขึ้น เหมาะสำหรับ การใช้ไฟล์ Log & HLG ส่วนในหน้า Edit page ก็จะเพิ่มรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ใข้งานได้สะดวกขึ้น เช่น การใส่ transitions และ Effect ต่างๆ ฯลฯ ในตอนนี้ คือ version 17.4.1 ซึ่งปรับปรุงเรื่อง text ให้ดีขึ้น คือ การใช้ตัวอักษรภาษาไทย จะใช้ได้ดีขึ้นคือ จะไม่มีอาการ สระกระโดด และ สระอู สระอุขาด ในบาง font เหมือนเมื่อก่อน เป็นต้น สำหรับ การใช้ภาษาจีน หรือ ญี่ปุ่น สามารถพิมพ์ตัวอักษรแนวตั้งได้ครับ และ สามารถเรียงจากซ้ายไปขวาได้ด้วย คราวๆ ก็มีประมาณนี้ครับ ถ้าผมมีเวลาก็อาจจะทำวีดีโอแนะนำ ความสามารถใหม่ๆ ให้ครับ

@@jeab47tj ขอบคุณมากครบ