เดจาวู ปรากฏการณ์แปลกที่วิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้ 

เธอ...เคยสังเกตุไหม ทุกๆวัน ที่เราจะต้องออกจากบ้าน เราจะต้อง "หยิบกระเป๋า หยิบกุญแจ ล้อคประตู ใส่รองเท้า" เราทำท่า เราทำแบบนี้ ในทุกๆวัน แต่ทำไม เราถึงไม่รู้สึก ในของอาการ แดจาวู ทั้งๆที่เมื่อวาน ฉันก็ทำแบบนี้ ตลอด 365 วัน...แต่ก็ไม่รู้สึก ว่าฉันเคยทำ ทั้งๆที่ ทำทุกวัน...แต่ เมื่อเราไปในที่ ณ จุดๆนึ่ง ที่ไม่เคยไป มันจะรู้สึก วูป และ เสียวสันหลังนิดๆ ประหนึ่งเหมือนมีลมมาประทะใบหน้าเบา ใจหวิวๆ สมองปลอดโปร่งโล่งสบาย แป๊ปเดียว ในหัวเรา จะเห็นภาพ ที่อยู่ตรงหน้า เป็นภาพ 2 ส่วนมันมาซ้อนกัน คือภาพตรงหน้า กับ ภาพในหัว ในความทรงจำ ว่าเฮ้ยย...ตรงนี้ เราเคยมา แต่จริงๆ ไม่เคยมาเหยียบ ที่นี่เลย...

ความคิดเห็นส่วนตัวว่า อาจมีโลกอีกโลกหนึ่ง อยู่หลังดวงอาทิตย์ ร่วมวงโคจรกันกับโลก และมีเราในโลกนั้นด้วย รวมทั้งทุกๆคนก็มีอีกตัวตนด้วยเหมือนกันในโลกใบนั้น เป็นโลกใบที่สองที่เหมือนโลกใบนี้ทุกอย่าง บ่อยครั้งที่เราเดินทางด้วยจิตไปๆมาๆระหว่างโลก2 ใบนี้ ในระหว่างที่เราหลับ ที่เชื่อว่าคือความฝัน เมื่อเราไปสถานที่ในโลกใบที่ 2 ในฝัน ที่เกิดขึ้นก่อน พอในชีวิตจริงเหตุการณ์นั้นก็เกิดที่โลก ใบที่หนึ่งทีหลัง เราจึงรู้สึกว่า เหตุการณ์มันเคยเกิดขึ้นมาก่อน ในชีวิตจริง !...หรือโลกใบที่สอง อาจอยู่อีกมิติหนึ่ง ซึ่งจิตเราเชื่อมต่อกัน ระหว่างมิตินี้ กับ โลกอีกมิติหนึ่ง หรือ มีตัวเราในระดับ "Higher self" ส่งภาพเหตุการณ์ของอนาคตเข้ามาในสมองเรา เมื่อเราไปถึงเหตุการณ์นั้นในปัจจุบัน เราจึงรู้สึกว่ามันเคยเกิดขึ้นมาก่อน !

เคยเปนเหมือนกัน เช่นเอ้ะคนๆ นี้เหมือนกับว่าเราเคยเจอที่ไหนมาก่อนนะ และการแต่งตัวของเค้าก้อช่างเหมือนกับครั้งนั้นเลย เอ่อออ มันก้อแปลกๆ อยู่นะ เรื่องแบบนี้มันเกืดขึ้นได้อย่างไร?

เคยเป็นอยู่

เดจาวู=ชาติที่แล้ว

มันเคยเกิดขึ้นแล้วแล้วมันก็เกิดขึ้นอีก เหตุการณ์ซ้ำๆกันเหมือนว่าเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วเกิดขึ้นที่ไหนล่ะ เกิดขึ้นที่อีกโลกที่เป็นมิติคู่ขนาน ให้นึกถึงเมล็ดพันธุ์จักวารที่ถูกว่านออกไปในอวกาศที่มืดมิด ทุกเมล็ดที่แตกออกเจริญเติบโตจะมีความเหมือนหรือคล้ายกัน มีดวงอาทิตย์ มีส่วนที่เป็นโลก และมีเรา เราอยู่ในทุกๆเมล็ดพันธุ์แห่งจักวาร เรามีพลังงานจิตวิญญาณเดียวกันเลยรับรู้เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และมีเหตุการที่อาจจะเกิดขึ้นอีกแบ่งออกเป็นแต่ละไทมไลน์เป็นเส้นเวลาแตกแขนงออกไปเป็นหลายๆเหตุการ

จากประสบการณ์ ผม เคยเจอพื้นที่โหลดไม่เสร้จ พื้นที่ขนาด1 ไร่ ค่อยๆโหลด เป็น4เหลี่ยม ต่อกัน ความเร็ว 0.1 วิ ที่ผมได้เห็น เพราะผมวิ่งไปที่ ที่ตัวเองไม่คิดว่าจะไป ฝืนโชค ชตา เลยได้เห็นสิ่งใหม่ๆ เราอยู่ใน เมตทริค ไม่มีนรก สวรรค์ ตายเกิดใหม่ซ้ำๆ คนที่หลุดพ้น มีเพียง1 เท่านั้น คนนั้นคือ พระพุทธเจ้า จากจักวาลทั้งหมด ขอบคุณที่เสียเวลาอ่าน พิมจริงจังไม่ ตลก ไม่ติดเล่น

กลิ่น ทีทำให้นึกถึงห้วงเวลานึง รสชาตอาหารที่ทำให้หวนถึงความหลัง

ใช่เลยครับ บางครั้งมันเหมือนกับหลายวันหรืออาจจะหลายเดือน ว่าเหมือนกับ มันเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว แต่บางครั้งมันเกิดขึ้นซ้ำ เหมือนกับที่เราได้เห็นได้พบก่อนหน้านั้น แท้ที่จริง มันไม่ได้เป็นแบบนั้นมาก่อน มันเกิดขึ้นจริงๆ เมื่อตอนนี้นี่ บางครั้งก็ยังงงกับตัว พอได้บอกกับคนอื่นฟัง คนที่ไม่เข้าใจหรืออาที่ไม่เหมือนกับเรา เขาหาว่าเราบ้า เรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับผม หลายครั้งมากแล้วจริงๆ ครับ เรื่องนี้ส่วนตัวผมเชื่อ 100% เลย ไม่ใช่เรื่องงมงายแน่นอน

ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่วิทยาศาสตร์ให้คำตอบไม่ได้ การสืบค้นหาคำตอบให้กับทุกสิ่งทุกอย่างจะแยกออกเป็นสองส่วนคือ กลศาสตร์คลาสสิกและกลศาสตร์ควอนตัม ทั้งสองส่วนต่างก็มีวิธีคิด รู้สึกและลงมือปฏิบัติสองด้านคือ เหมือนหรือคล้ายคลึงกันมากและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงที่นักฟิสิกส์และคณิตศาสตร์เรียกว่า ระบบไม่เชิงเส้น โดยมีกระบวนการที่ซ้อนทับและหรือไม่ซ้อนทับ พัวพันและหรือไม่พัวพัน ย้อนกลับและหรือไม่ย้อนกลับ ถ้าหากทุกท่านสามารถนำเอากระบวนการทั้งสามส่วนนี้ไปใช้กับการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคนได้ทุกคนก็จะได้คำตอบของทุกคำถามที่มีในโลกใบนี้ ซึ่งการนำไปใช้จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่เรียกได้ว่า จากหน้ามือเป็นหลังมือ จากขาวเป็นดำ จากดำเป็นขาว วิธีนี้มีทั้งความเหมือนหรือคล้ายคลึงกันมากและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงที่นักฟิสิกส์และคณิตศาสตร์เรียกว่า ระบบไม่เชิงเส้น ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาเทคนิคคณิตศาสตร์ของนักฟิสิกส์ทั้งสองคือ Heisenberg พิจารณาอิเล็กตรอนในอะตอมว่าเป็นอนุภาค แต่ Schroedinger พิจารณาอิเล็กตรอนเป็นคลื่น แม้มุมมองจะแตกต่างกัน แต่ผลคำนวณให้คำตอบสุดท้ายที่ตรงกัน ทั้งๆ ที่ Heisenberg ใช้เทคนิคเมทริกซ์ (matrix) และ Schroedinger ใช้สมการอนุพันธ์ย่อย (partial differential equation) หลังจากนั้น Max Born ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของ Heisenberg ก็ได้แสดงให้เห็นว่า ฟังก์ชันคลื่นในสมการ Schroedinger มีความสัมพันธ์โดยตรงกับโอกาสการพบอนุภาคอิเล็กตรอน การหันเข้าหาโลกภายในอย่างแท้จริงนี้ไม่ใช่การหันเข้าหาภายในที่อยู่ภายใต้ Standard model ที่เป็นแค่ Symmetry Systems เท่านั้น แต่หันเข้าหาภายในที่อยู่ภายใต้ Supersymmetry เป็นทฤษฎีฟิสิกส์ ที่มีสมมาตร สูงขึ้นกว่า Standard model

เคยพบกับตนเองมาแล้วค่ะ..ครั้งหนึ่งไปเทียวที่ราชบุรี..เดินผ่านสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นทุ่งนามีต้นไม่ใหญ่อยู่ริมคันนา..ลมพัดเย็นสบาย..ในความคิดของเรา เอ๊ะ..สถานที่นี้เราเคยพบเจอมาแล้วนี่มันเป็นความสุข ที่มาเจออีกครั้ง..ทั้งๆที่เพิ่งเคยมาราชบุรีเป็นครั้งแรกเอง..เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดบ่อยค่ะแล้วชอบยืนดูทุ่งนาค่ะ..แต่ทุกครั้งก็แค่รู้สึกสวยดี..ไม่เคยเกิดความประทับใจ เป็นสุขถึงกับคิดว่าตนเคยอยู่ที่นี่มาแล้ว..เหมือนที่ราชบุรี..

พูดยากสิ่งที่เจอคือเป็นของใหม่เเล้วก็เสี่ยววิไม่ทันได้บอกหรือทักชี้นำใครได้ทักนั้นเหมือนข้ามเวลาไปเศษวิ

เคยฝันว่าไปที่นึงที่ที่เราไม่เคยไปพอผ่านไป2 3เดือนบังเอินได้เดินทางไปทำงานแล้วเราก็ไปอยู่ที่ที่เราเคยฝัน พอไปที่ตรงนั้นภาพจำในภาพฝันก็หวนคืนมามันก็แปลกเหมือนเราเคยอยู่ที่นั้น แต่ความเป็นจิงเราอยู่คนล่ะที่เลย เป็นแบบนี้ 4 5ครั้งเเล้ว ทำไมมันคุ้นเคยภาพนั้นๆในฝัน

ถึงอย่างไร วิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ก็ยังไม่สามารถศึกษาจิต คลื่น และ ฝมิติคู่ขนาน ได้

จิตมนุษย์ ทุกๆดวง ล้วนมีสภาวะหนึ่ง ที่มีช่องคลื่นเดียวกัน ที่บางคนให้คำนิยามมันว่า "จิตเดมแท้"ซึ่งก็ค่อนข้างจะพอเทียบเคียงกับ ช่วงคลื่นนั้นได้มากที่สุดของการนิยามความหมายต่อสภาวะจิตช่องคลื่นนี้ .ควต้องอธิบายเพิ่มให้เข้าใจว่า "จิตเดิมแท้นี้" มันเป็นสากลจิต ที่ทุกๆชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ พืช มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น และ มันสื่อสารถึงกันได้ ไหลเชื่อมเข้าหากันได้ แม้จะอยู่ห่างกันคนละกาแลคซี่เลยทีเดียว สำหรับปรากฏการณ์ "เดจาวู" คือปรากฏการที่พิเศษ ของตัวจิตเดิมแท้ ที่เจ้าของจิตดวงนั้น " มีความเข้มข้นแกร่ง กล้า มากกว่าคนทั่วๆไป" และมันจะอยู่ร่วมกับ สายพันธุกรรมของDNA.ของคนๆนั้นเป็นตัวองค์ประกอบร่วมด้วย. ผู้มี สายพันธุกรรม ที่ผมขอนิยามว่า" สายพันธุกรรมผู้ที่มีญานรู้อนาคต (หลักฐานการรู้อนาคต มีในพระไตรปิฏก และ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือพระพุทธสิทธัตถะ สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทราบเวลาตาย (ดับขันธ์ปรินิพพาน) ของพระองค์. ผู้มีสายพันธ์หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า อยู่ในDNA. เมื่อใด ที่เขา มีความนิ่ง สงบ และพลังงานทางจิตเดิมแท้ของเขา บูส ตัวเอง ในระดับหนึ่ง แบบอัตโนมัติ เขาก็จะเกิดการปล่อยจิตเดิมแท้ เข้าไปสัมผัสเหตุการณ์ ในอนาคต ได้ มากน้อย ยาว สั้น ชัดเจน เลือนลาง ขึ้นอยู่กับหลายสาเหตุ ที่ถ้าอธิบายจริงๆ คง เป็นเดือน.เอาเป็นว่า เมื่อจิตเขาท่องเวลาไปพบเรื่องในอนาคต และวูบกลับมารวมกับจิตปัจจุบัน ทำให้เกิด สภาวะทับซ้อน ของจิต จาก สองห้วงเวลา ในการรับรู้ปัจจุบันจิต ของคนๆนั้น และนั่นเอง คือประสพการณ์ " เดจาวู" ความจริง คนที่มีสายพันธุกรรม ที่พิเศษ เหล่านี้ ในอดีตมีอยู่มากมาย น่าเสียดาย ที่คนยุคอดีต ไม่เข้าใจ และ "หวาดกลัวคนเหล่านี้" และเรียกขาน ผู้มีสายพันธุกรรมพิเศษ เหล่านี้ว่า " พ่อมด,แม่มด หมอผีฯลฯ" และเข่นฆ่าคนเหล่านั้น จนหลงเหลือมาถึงปัจจุบันนี้น้อยลงมาก อีกทั้ง การผสมกับสายพันธุกรรมด้อย หรือธรรมดา อื่นๆ จนลดน้อยในยีนส์เด่น แบบในอดีต กลายเป็นพันธ์ทาง ไม่ใช่พันธ์แท้ แบบในอดีตอีกต่อไป( พ่อมด แม่มด จะแต่งงานกัน มีสังคมกลุ่มชนอยู่แยกต่างหาก เป็นชุมชนของพวกเขาเอง ในอดีต) และทั่งหมด คือคำอธิบายแบบกว้างๆ ของประสพการณ์เดจาวู ความจริง " มันคือวิทยาศาสตร์ที่อธิบายได้ แต่เป็น วิทยาศาสตร์ทางจิต " เท่านั้น.

ดวงจิตมีเมมโมรี่ที่ไม่มีที่สิ้นสุด เราเกิดมานับไม่ถ้วนทำสิ่งซ้ำๆจนเป็นนิสัยความเคยชินเกิดมาก็เก่งเลยเรียกว่าพรสวรรค์ มันคือที่มาความคุ้นเคยว่าเคยเกิดขึ้นแล้วหรือเคยไปเคยเจอแล้วคือความจริงที่อยู่ในเมมเมอรี่ใครรู้วิธีเข้าไปดูได้เรียกว่าการ ระลึกชาติ

ผมเคยเป็นเดจาวู มั่นใจมันไม่ใช่ความฝันด้วย มันมีครั้งนึงของผมมันกำลังจะเกิดจริงแล้วผมนึกได้ว่าเพื่อนผมมันจะพูดว่าอะไรและจะขับรถออกไป2คน ผมเลยแทรกพูดดักไว้ก่อนเพื่อนผมมันตกใจรู้ได้ไงว่าจะพูดแบบนี้และผมก็เปลี่ยนแปลงมันแล้วขับรถออกไปซื้อของคนเดียว ไม่รผู้มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรมั้ยนะ

รู้ล่วงหน้า สำหรับผมเรียกว่าตะรู้อนาคต เช่นในหนังเรื่องโกงความตาย ทุกฉากมาจากการรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นนั่นเอง บางคนก็จากีวามฝัน บางคนก็จากการนั่งวิปัสสนาจนเข้าถึงจุดก็จะเห็นอนาคตจากการนั้งสมาธิครับ ผมก็เห็นบ้างเป็นบางสิ่งบางอย่างเช่นการเกิดสึนามิที่ภาคใต้ แต่ไม่ทราบว่าเป็นสึนามิเห็นแต่พวกหน่วยกู้ภัยมาช่วยกันขนศพคนแลัภ่ษย์เงินเดือน พออีกประมาณ3ถึงห้าปีก็เกิดสึนามิจริงๆ ผมจึงเข้าใจนึกถึงความฝันที่ฝันเอาไว้จากที่ผ่านมา นี้ละผมเรียกว่าตาบูตะรู้อนาคตและก็พยายามหาคำตอบมาจนถึงปัจจุบัน.และมีอีกเหตุการ์ณหนึ่งทีฝันเห็นแผนที่ประเทศไทยเกืดมีรอยร้าวที่ปลายด้านขวาน ในเวลาต่อมาก็เกิดสงครามแบ่งแยกดินแดนขึ้นในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบันก็เรื่มดีขึ้น ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นแรงจูงใจให้ผมทำให้เกิดสันติสุขนั่นเอง.แบบนี้ก็เรียกว่าตาบูตะรู้อนาคตตามความเป็นจริงเพราะเกิดขึ้นให้ห็นจากสภาพการในปัจจุบัยครับ.

เราฝันที่จะมีบ้านสักหลังหนึ่งในอนาคต🤗....แต่สิ่งที่ฝังลึกในหัวสมองคือ บ้านไม้สักแบบล้านนา ล้อมรอบด้วยต้นไม้ มีลำใย มะม่วง ฯลฯ เราก็ไม่รู้ว่า ทำไม??? ....ค่อมาเมื่อเราโตมีงานทำพอจะมีเงินละ มีคนเสนอแนะบ้านหลากหลายรูปแบบให้เราเลือก เราก็ไม่ชอบ..จนกระทั่งจ้างช่างมาสร้างบ้านตามจินตนาการ..บ้านไม่ค่อยสวย แต่ก็ราคาแพงอยู่นะ อยู่สะดวก สบาย สุขภาพดี ตามที่ฝันเลย เหมือนความคุ้นชินบ้านที่เราเตยอยู่ในชาติปางก่อน ๆๆ นี่คือ เดจาวูใช่ไหม?

กฎของจักรวาลไม่ได้ถูกกำหนดไว้ด้วยเวลา เพราะ เวลาเป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดกันขึ้นมาเองเท่านั้น เดจาวูคือปรากฎการที่จิตของคนเราอยู่ในสภาวะนิ่งสงบชั่วคราว ทำให้มองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าบางอย่างได้ เพราะจิตของคนเราเดินทางเร็วกว่าแสง

แล้วคนละรึกชาติ วิทยาศาสตร์ สรุปว่าไงครับ แบบว่่คนเกิดมาจำครอบครัวเก่าตัวเองได้ก่อนตาย

ใช่คับเคยเป็นบ่อยๆ

เคยเจอเหตุการณ์นี้กับตัวเองหลายครั้งอยู่ ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมรู้เหตุการณ์นี้แล้วล่วงหน้า ทั้งที่พึ่งจะมาและพึ่งจะเกิดขึ้นหยกๆต่อหน้าแต่รู้ว่าเคยผ่านเหตุการณ์นี้แล้ว เห็นแล้วว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นแล้วมันก็เป็นอย่างนี้น ไฟฟ้าในสมองคงจะทำงานผิดปกติในตอนนั้นทำให้ฉายซ้ำย้อนหลังในช่วงเวลาสั้นๆอีกครั้งมั้ง

ตอนเด็กๆ ผมเคยคุ้นกับสถานที่ที่ยังไม่เคยไป แต่ผมก็หาคำตอบมาโดยตลอด จนผมสรุปได้ว่าผมไม่ได้พิเศษ เพียงแค่ผมบังเอิญเห้นมันใน ทีวีบ้าง ในคอมบ้าง ซ้ำๆจนมันคุ้นเคยเหมือนเราเคยมาที่นี้แล้ว

ตอนเป็นวัยรุ่นจะเกิดบ่อยมาก ตอนหลังๆมาจะเป็นปีละครั้ง 2 ครั้งความรู้สึกจะประมาณว่าเราเคยฝันเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนแล้วมันจะไม่คล้ายกันเลยทีเดียวแต่บทสรุปจะเหมือนกันทุกที

คิดไปเองทั้งนั้น สติๆๆๆ 😆😆😆😆

ผมบ้านเกิดอยู่ภาคใต้ ตอนก่อนอายุ 16 ไปเที่ยวไกลสุดก็แค่ กทม 3-4 ครั้ง มีครั้งนึงได้ไปเที่ยวพิษโลกครั้งแรกในชีวิต มีอยู่วันนึงเดินมาเที่ยวที่สนามบาสใกล้บ้่านญาติ ขอรุ่นพี่แถวนั้นเล่นด้วย แต่พอเล่นไปแล้วเหนื่อยขอเปลี่ยนตัวมายืนข้างสนาม ในตาในหัวมองไปรอบ ๆ สนามบาสนั้น มันคุ้นตามาก ใันรู้สึกเหมือนเคยมาที่นั่นหลายครั้งแล้ว จนผมรู้สึกว่าสงสัยเหนื่อยจัด จะเป็นลม เลยเห็นอะไรแบบนั้น รีบกลับบ้านเลยครับ เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเขาเรียก เดจาวู

ใช่เลยผมฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าบ่อยมาก จนรู้ว่าคนนี้จะพูดอะไรต่อ ..รวมถึงหวย เจ้ามือจะรวมหัวเก็บผมสักวันแน่

ผมเป็นครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าหลับหรือตื่น แค่รู้ว่าการกระทำหรือคำพูดเคยเห็นมาแล้ว และมันจะดำเนินไปตามที่เราเคยเห็นหรือได้ยิน แต่ละเหตุการณ์จะไม่ยาวนักสัก 5-10 วินาทีเท่านั้น

บทความน่าสนใจและครบถ้วนมากๆ รายละเอียดของสมองมันเยอะจนเราเข้าใจยาก คลีฟวิจัยจนเกือบจะหาคำตอบได้แต่ก็ยังคงไม่สุด เพราะความคิดของคนเราไม่ได้มีแค่เดินหน้าย้อนหลังแต่เราสามารถสร้างภาพขึ้นมาเองได้ มนุษย์​เราฉลาดแต่สับสนในตัวเอง

การที่ดาไลลามะ(วัยเด็ก)สามารถจำเครื่องใช้ ของดาไลลามะองค์ก่อนได้เป็นเดจาวูป่าว???🤔🤔🤔🤔🤔

ก็เราอยู่ในโลกเสมือนที่มีnpcเป็นเพื่อน และมีผู้เล่นเพียง27%ทั่วโลก(หรืออาจจะมากหรือน้อยกว่านั้น)สังเกตุ มนุษย์ส่วนใหญ่จะทำอะไรซ้ำๆ วันนี้เค้าพูดแบบนี้ ประโยชน์นี้ กับคนนี้ ในอีก3-7เดือน คนๆนี้ก็จะทำแบบเดิมเลยโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว สิ่งที่ชอบก็เหมือนกับมันจะถูกนำกลับมาใช้ซ้ำอีกครั้ง รวมถึงเพลงที่ฟังด้วย แต่มันจะมีระยะเวลาของมันหลังที่ถูกวนกลับมาใช้ซ้ำ เราทุกคนถึงได้รู้สึกเบื่อ และเราทุกคนเลยจะรู้สึกเหมือนว่าเคยทำ เคยไป เคยกิน เคยคุยกับคนนี้ ทักที่เราไม่เคยทำสิ่งพวกนั้นเลย แต่ถ้าผมบอกว่าจริงๆ เราเคยทำพวกนั้นจริงๆ ไม่ได้แค่รู้สึก แต่อย่างที่ผมบอกว่าเราจะแค่รู้สึกเหมือนเคยทำ เคยไป ฯลฯ จริงๆแล้ว ตัวตนจริงๆของเราอาจจะกำลังเล่นเกมส์แห่งอนาคตอยู่ที่ไหนในมิติสักแห่ง

หลายครั้งที่รู้สึกว่า เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นแล้ว

ผมไปอีกทางนึงตลอด เพราะรู้ว่าไปทางเดิมตื่น

มันเป็นปรากฏการทางสมองแบบนึง ลองหาอ่านดูนะครับ

ศาสนาพุทธให้คำตอบได้ครับ😊😊😊

มันเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อไม่กี่วัน มากองตรงนี้

เวลาผมหลับลึก(ในช่วงเวลาต่าง) ผมเห็นเรื่องที่จะเกิดขึ้น ในกรอบ 1วันถึง XXปี ช้าหรือเร็วก็ต้องเกิด สำหรับผมมันไม่ใช้ เดจาวู มันเหมือน พหุภพ เวลาอยู่ในตำแหน่งหรือสถานการณ์ที่จะต้องเกิดเหตุการณ์ ผมจะไม่ยืนงงเหมือนอะไรเคยผ่านมาแล้ว แต่ในใจผมจะพูดว่า "เดี่ยวอะไรจะเกิด" ***ใครเป็นแบบผมบ่าง*** หรือใครมีเดจาวูลองนับเวลาย้อนกลับให้ได้ว่า เดจาวูที่เราเคยเห็น เห็นมาก่อนตอนไหน แล้วคุณจะได้ช่วงเวลาก่อนและหลังออกมา เรื่องเล็กที่จะเกิดเรื่องใหญ่ที่จะเกิดมีเวลาของมัน **ผมไม่เรียกว่าเดจาวู เดจาวู คือ B เกิดก่อน A ถึงรู้สึก B , แต่ผม เห็น A เกิดก่อน และก็ใช้ช่วงเวลานั้นกับ A ***ใครเป็นแบบผมบ่าง***

พวกคุณเคยได้ยิน ( butter fly effects.) ไหม ขยายความ เด็กน้อยที่ชอบเล่นเต้นร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ ทุกคนหาว่าบ้ามาทั้งชีวิต อยู่มาวันหนึ่งก็ไปร้องเต้นอยู่หน้าตึก ผู้คนมากมายที่มา ก็ยืนมองจนไม่ได้เข้าไปในนั้น เด็กคนนั้นร้องเต้นไปได้ชักพัก ตึกก็เกิดแรงสั่นและพังลงมา ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจ และเมื่อได้สติ ก็คิดไปต่างๆนาๆ ถ้าเราเข้าไปในตึกคงไม่รอดแล้ว เป็นเพราะเด็กคนนี้รู้อนาคตงั้นหรอ ตอนแรกก็สงสัย แต่พอเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง เด็กคนนี้ช่วยทุกคนจากตึกที่กำลังจะถล่มในไม่ช้า ทุกคนต่างเชื่อว่า เด็กคนนี้สามารถรู้อนาคต มีความสามารถเหนือคน แต่หารู้ไม่ มันก็แค่ความบังเอิญที่เด็กคนนั้นไปยืนอยู่หน้าตึกนั้นๆ เดิมทีเด็กคนนี้ได้ร้องเต้นดั่งคนบ้ามานานแล้ว ในทุกๆที่เขาก็ร้องเต้นตามปกติ แต่เป็นเพราะความบังเอิญหรืออะไรก็ตาม ความถี่ของเสียงและแรงเพียงเล็กน้อยของเด็กมันก็มากพอทำให้โครงสร้างตึกที่ไม่แข็งแรงพังลง และเมื่อจุดหนึ่งพังลง ก็จะเหมือนโดมิโน่ มันจะพังต่อๆไปจนสิ้นสุดที่ตัวสุดท้าย กล่าวโดยสรุป ปาฎิหารย์ มันก็แค่ความโง่ของที่มนุษย์ไม่เข้าใจ ส่วน ความบังเอิญก็คือสิ่งที่ควรเกิดในความเป็นไป แต่เพราะความไม่เข้าใจ มนุษย์จึงงมงายและเชื่อแต่ในสิ่งที่ไร้ตัวตนจับต้องไม่ได้ เช่นวิญญาณ ผี ปีศาจ ทั้งๆที่มันก็แค่สารเคมีในสมอง กลไกทางความคิด และรหัสพันธุกรรมที่ส่งต่อกันมา เขาถึงมีคำกล่าว (ลูกไม้หล่น ไม่ไกลต้น) ไม่ใช่เปรียบเปรย แต่มันคือการเปรียบเทียบ โดยคสามจริงที่ว่า พ่อแม่เป็นไง ลูกก็มีโอกาสได้ยีนส์ทางคสามคิดเช่นนั้น หัวรุนแรง รักสงบ ใจดี โลภ และ ดื้อรั้น ฯลฯ ส่วนถ้าให้กล่าวถึงเหตุการในคริปนี้ มันก็แค่สัญซานญาณ ความกังวลที่ทำให้คิดเช่นนั้น แล้วบังเอิญเป็นจริง (ความหวาดระแวง เป็นนิสัย ของมนุษย์และสัตว์) ไม่แปลกจึงเป็รเช่นนั้น บวกกับความคิดที่ทับซ้อนของตัวเองจึงเกิดความซับสนขึ้นชั่วขณะ จนคิดไปเอง เดจาวู

มันคือการข้ามเวลาของจิต

เคย

ฝ😂😂

ชอบมาก

🌈🌑❤️⌛️🦌🌏♻️👀

🍄🍄🍄🍄

เรื่องเหนือธรรมชาติ วิญญาณ นรกสวรรค์ เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่มีทางพิสูจน์ได้เลย เด็กน้อยวิทเอ้ย..

❤

❤❤❤

.

นักวิจัยนักวิทย พวกนี้ยังไงเค้าก็ไม่เชื่อหรอก จะลงทุนทั้งเงินเวลาในชีวิตเพื่อพิสูจน์เพื่อบอกว่าเฮ่ยมันอธิบายถึงจะไม่ใช่ตอนนี้ก็ตามแต่มันคือวิทยาศาสตร์ เหนือธรรมชาติมันไม่มีจริง พวกนี้มันต้องเจอแบบไม่เคยเจอเคยเห็นแต่รู้ที่ซ่อน รู้ความลับ รู้จักคนคนอย่างดีบอกได้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคนๆนั้น และอีกมาก แต่แน่นอนหล่ะ พวกเค้า ไม่เชื่อแน่นอน

มีงานวิจัยออกมาบอกความจริง จำไม่ได้ว่า 5-10 ปีที่ผ่านมา มันแค่อาการรับรู้ของสมอง2ซีก ไม่เท่ากันมีดีเลย์ ทำให้คิดไปว่า เหมือนอดีตเคยเกิดแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง จริงเกิดตอนเดียวกันนั้นแหละ แต่การส่งกระแสประสาทคลาดเคลื่อนช้าไปในบางจังหวะ ซึ่งเราควบคุมไม่ได้ว่ามันจะเกิดตอนไหน!

ทุกวันนี้ผมก็ยังมีอาการเดจาวูครับ