ถ้าพูดถึงธาตุอาหารของพืช....ก็จะมีธาตุอาหารหลักไม่ว่าจะเป็น NPK ที่พืชขาดไม่ได้ และ ธาตุอาหารรองไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน นอกจากนั้นก็จะเป็นธาตุอาหารเสริมหรือว่าจุลธาตุ ไม่ว่าจะเป็น เหล็ก (Fe) แมงกานีส (Mn) โบรอน (B) โมลิบดินัม (Mo) ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn) และคลอรีน (Cl) ซึ่งจุลธาตุแม้ว่าพืชจะต้องการในปริมาณที่น้อย แต่ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน
*ธาตุแคลเซียมและโบรอนถือว่าเป็น 1 ใน 7 ธาตุ อาหารเสริม หรือว่าจุลธาตุ ซึ่งพืชต้องการน้อยมาก..แต่ยังไงพืชก็ไม่สามารถขาดได้..เราจึงต้องใช้พวกธาตุแคลเซียมโบรอนอยู่เสมอ*
สำหรับแคลเซียม จะมีส่วนในการเคลื่อนย้ายและเก็บรักษาคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนในพืช เพื่อนำไปใช้ในการสร้างผลและเมล็ดต่อไป ประกอบกับเป็นองค์ประกอบของสารที่เชื่อมผนังเซลล์ ช่วยในการแบ่งเซลล์ การผสมเกสร การงอกของเมล็ด
ถ้าพืชขาดแคลเซียมใบที่เจริญใหม่จะหงิกงอ ตายอดไม่เจริญ อาจมีจุดดำที่เส้นใบ รากสั้น ผลแตก และมีคุณภาพไม่ดี
ส่วน โบรอน จะช่วยส่งเสริมการออกดอก ผสมเกสรและการติดผล และช่วยในการเคลื่อนย้ายฮอร์โมนในต้นพืช เพิ่มความสามารถในการเคลื่อนย้ายแป้งและน้ำตาล มีความจำเป็นในการสร้างโปรตีน... ให้กับธาตุอื่น เช่น ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) และ แคลเซียม (Ca) เพื่อให้พืชใช้ประโยชน์ ได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งมีส่วนช่วยเพิ่มคุณภาพทั้งรสชาติ ขนาด และน้ำหนักของผลอีกด้วย
ถ้าพืชขาดธาตุโบรอน จะส่งผลให้ตายอดและตาข้างตาย ลำต้นไม่ค่อยยืดตัว กิ่งและใบจึงชิดกัน ใบเล็ก หนา โค้งและเปราะ
ธาตุแคลเซียมและ โบรอน...โดยทั่วไปและเกษตรกรจะรู้ดีว่าเป็นธาตุอาหารที่ช่วยในการผสมเกสร ลดการหลุดร่วงของขั้วดอกและก็ขั้วผล ทำให้ทรงผลสวย ลดการบิดเบี้ยวของผล ขยายผลสร้างเนื้อ เพิ่มความหวาน สร้างน้ำตาล สร้างการแตกตาดอกช่วยให้พืชแข็งแรง
แล้วทีนี้...เราจะใช้แคลเซียม โบรอนตอนไหนดี....จริงๆแล้วแคลเซียม โบรอน มีความจำเป็นทุกระยะของพืชครับ ..แต่จะให้เกิดประโยชน์สูงสุดก็ควรใช้ใช้ช่วงที่พืชมีการแบ่งเซลล์ เช่นช่วงที่มีการแตกตาใบ แตกตาดอก..ถ้าใช้ช่วงใบแก่ใบเพลสลาดหรือใบแก่ก็ไม่เกิดผล...ซึ่งตามที่ผมได้กล่าวมาข้างต้น..ธาตุแคลเซียมและ โบรอน...โดยทั่วไปและเกษตรกรจะรู้ดีว่าเป็นธาตุอาหารที่ช่วยในการผสมเกสร ลดการหลุดร่วงของขั้วดอกและก็ขั้วผล ทำการขยายผล สร้างเนื้อ เพิ่มความหวาน สร้างน้ำตาล สร้างการแตกตาดอก..ช่วยให้พืชแข็งแรง..
และควรจำไว้ว่า แคลเซียมจะทำงานควบคู่กับโบรอนเสมอ...ต้องมีการนำพาธาตุทั้งสองไปในทิศทางเดียวกัน เอาง่ายๆ...ถ้ามีแคลเซียมอย่างเดียวการทำงานของธาตุก็จะต่างที่จะทำงานไปคนละทิศทาง ดังนั้นธาตุแคลเซียมจึงมีบทบาทร่วมกับธาตุโบรอน เพื่อนำพาให้การทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะช่วยในการดูดซับและเคลื่อนย้ายน้ำตาลและแป้งให้เป็นพลังงานเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของพืช
แต่แคลเซียม โบรอน เป็นธาตุที่ไม่เคลื่อนย้ายในพืชหรือมีการเคลื่อนย้ายแต่น้อยมาก... ถ้าฉีดพ่นไปที่ใบก็จะอยู่ที่ใบ ฉีดพ่นที่ดอกก็จะอยู่ที่ดอก ฉีดพ่นผลก็จะอยู่ที่ผล...เพราะฉะนั้นถ้าต้องการฉีดลูกก็ฉีดที่ลูก จะไปฉีดที่ใบไม่ได้ เพราะทั้งแคลเซียม และโบรอน จะไม่เคลื่อนย้ายได้...ฉีดตรงไหนจะอยู่ต้องนั้น หลักหารทำงานของแคลเซียม โบรอนจะวิธีดูดซึม....อย่าฉีดมั่วซึ่งจะไม่เกิดประโยชน์แถมยังสิ้นเปลืองอีกต่างหาก ...อย่างไรก็ตามนะครับ....การใช้แคลเซียม โบรอนพ่นทางใบ ไม่ควรผสมร่วมกับสารเคมีอื่นๆ...และไม่ควรให้ธาตุอาหารไนโตรเจนมากเกินไป...ยิ่งการฉีดพ่นในช่วงติดดอกไนโตรเจนจะทำให้มีการแตกใบอ่อน..จะทำให้ดอกหลุดล่วงได้
ปกติแล้วธาตุอาหารเหล่านี้จะมีอยู่ในดินอยู่แล้ว แต่ในปริมาณที่น้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช ดังนั้นเราจึงต้องมีการเสริมธาตุในดินทดแทนให้กับพืชเสมอครับ
+++++++++++++++++++++++++
ติดต่อฅนเกษตร : / konkaset89
ติดต่อทีมงาน Production : / korkai.studio9
8 сен 2024