Carbonwize สตาร์ทอัพไทย ธุรกิจวัดคาร์บอน ลุย Climate Tech หมื่นล้าน | Climate Action EP.12 

555 คอมเม้นต์นี้ต้องมี

สวยกว่าอ๊ะอายอีก

ชื่นชมทีม (founders) ในเรื่องความกล้าลงทุนกับเรื่องนี้ครับ เลยขอชี้ไอเดียขยายเพิ่ม(ถ้ามีกำลังพอ) ว่าลองแบ่งเป็นสองงาน(หรือผสมกันก็ได้) footprint องค์กรส่วนหนึ่ง กับ footprint สินค้าอีกตัวหนึ่ง เพราะจุดขายที่ดีคือการนำเสนอความง่ายแบบค่อนข้างสำเร็จรูป(เมื่องาน data ลงตัว) กับรายงาน(cert) มาตรฐานสากล การจับตัวสินค้าจะตอบโจทย์ธุรกิจดีขึ้นและวัดได้ชัดในเรื่องตัวเงินการขายการตอบสนองของลูกค้ากลุ่มใหม่ต่อกิจการ/แบรนด์ แต่จุดอ่อนในไทยคือ total chain data ทั้งในแง่กิจกรรมภายในองค์กรและ supply chain ยังอาจเป็นจุดทำให้งานสะดุดทั้งๆ ที่ตัวกิจการต้องการรายงานหรือการรับรอง ดังนั้น ถ้าเพิ่มงานบางส่วนเข้าไปอุดจุดอ่อนตรงนี้ได้ก่อนขาย ก็น่าจะไปได้ยาวและคุ้มค่าเรื่องผลตอบแทนต่อนักลงทุน อาจฟังดู abstract ไป งั้นยกตัวอย่างให้เคสนึงครับ Carbonwize เสนอ Lotus ในเชิงร่วมมือระยะยาว Footprint & Net zero/Neutral แผนกผักและผลไม้ที่วางขาย /pilot พริก กับแปลงนำร่อง ใช้ระบบฉลากที่มี QR CODE ผู้บริโภคสแกนได้ แล้วจะเข้าไปสู่ EDUCATION STORY: TOTAL CHAIN (แปลงนำร่องต้องเป๊ะ ตรงนี้คือตัวอุดจุดอ่อนเรื่องระบบการจัดทำ DATA และ HR) สิ่งที่ออกมาคือ PILOT พริกในไทยไปแล้ว 1 รายการสินค้าเกษตร และพื้นที่/สังคมปลูกพริกในไทย โดย LOTUS X CARBONWIZE คุณค่าจะมีส่วนเพิ่มและน่าจะตอบโจทย์ทุก STAKEHOLDERS Model เงินและธุรกิจสามารถคิดใหม่หรือเพิ่มได้จะมูลค่าสูงกว่าและยั่งยืนเทียบหน่วยลงทุน คือไปผูกส่วนแบ่งกับตัวสินค้า นอกเหนือจากค่าบริการพื้นฐานตามปกติ(ถ้าทำได้)

ต้องโปรโมทให้คนรู้จักมากๆ เพราะต่อไปถ้าไม่ทำจะเสียเปรียบด้านการค้า เป็นการวินๆทั้งสองฝ่าย แม้แต่ รัฐ. ยังมีคนส่วนมากไม่รู้จริงในเรื่องนี้

ฮั่นแน่

ได้ครับ

1) ในอนาคตภาครัฐมีแนวโน้มบังคับผู้ที่ปล่อยคาร์บอนเยอะต้องจ่าย หนึ่งในนั้นคือ เช่น การใช้ไฟฟ้า น้ำมัน 2) ถ้าปล่อยเยอะต้องชดเชยเยอะขึ้นด้วย เช่นการปลูกต้นไม้ทดแทนเรียกว่า (carbon net zero) 3) สินค้า 1 ชิ้นจะมีการคิดคำนวน carbon ที่ปล่อยออกมา เพื่อผลิต จากการใช้ไฟฟ้า/น้ำ/ หรือพลังงานอื่นๆ หารออกมาต่อหน่วย (คล้ายๆกับการหาต้นทุนสินค้าต่อหน่วย) แล้วตอนนี้ ถ้าคุณส่งสินค้าไปยุโรป เขาจะเรียกดูข้อมูลเหล่านี้ และมันเป็นปัจจัยนึงในการคิดภาษีนำเข้า

ในสหรัฐอเมริกาจะมีนโยบาย Polluter Pay Principles นั่นก็คือใครเป็นผู้ก่อมลพิษมากก็ต้องจ่ายค่าปรับมากกว่าปกติ ซึ่งแนวโน้มในไทยกับสภาวะรอบตัวกำลังบีบให้เราทำธุรกิจเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เราจะเห็นสำนักข่าวตีพิมพ์ข่าวมาตลอดในช่วงหลังๆว่าที่เวียดนามและประเทศอื่นๆพร้อมดำเนินกิจการเชิงสีเขียว(ด้าน สวล.) แต่ในไทยไม่พร้อมทำเท่าไหร่นัก ถ้าเรายังไม่ริเริ่มทำ นักลงทุนก็ไม่อยากมาลงทุนเพราะมันมีเรื่องการ Sanctions การตั้ง Tax Wall เพื่อสกัดสินค้าที่ไม่ได้ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม โลกทุกวันนี้เขาใส่ใจเรื่องภาวะโลกร้อนอย่างมาก เราจะเห็นได้ชัดเจนว่าสภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนัก ร้อนก็ร้อนแทบไหม้ น้ำท่วมก็ท่วมหนัก ฯลฯ แต่ที่คุณพูดมาก็ถูกส่วนนึง คือพวกผู้ประกอบการที่มีขนาดเล็ก อาจจะไม่ได้แคร์มากมาย เพราะเขาไม่มีความจำเป็นต้องส่งออกสินค้า

เป็นการรวมตัวกันเพื่อกำหนดทิศทางโลก เพราะผู้เข้าประชุมส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจระดับหมื่นล้านแสนล้าน และผู้มีอิทธิพลด้านต่างๆมารวมตัวกัน มากพอจะกำหนดทิศทางโลกว่าจะไปอย่างไรเช่น ปีที่แล้วให้เน้นพัฒนาเรื่องดิจิตอลอีโคโนมี่และกรีนอีโคโนมี่

ไม่เหลือครับ