ขอบคุณมากเลยค่ะ...เปิดรับการเปลี่ยนแปลง เข้าใจบทบาท ฝึกฝนและพัฒนาทักษะสำคัญ(mastery)ของบทบาทนั้นๆ จนสามารถทำมันได้ดี อย่างเป็นธรรมชาติ (flow) โดยไม่รู้สึกว่ามันหนักหนาเกินไป productive + fun ❤

ให้โอกาส เผื่อจะแมทกัน...6-7 เดือนนี่ พอหรือยังคะ

ส่วนที่ 1 - เครื่องมือในการบริหารจัดการเวลา 5 กลุ่ม : 1. การเข้าใจตัวเอง - เป็นจุดเริ่มต้นก่อนการนำเลือก/นำเทคนิคต่างๆ มาใช้แล้วเกิดผล 2. การตั้งเป้าหมาย 3. การวางแผนและจัดลำดับความสำคัญ 4. การลงมือทำ 5. เทคนิคเสริมแกร่งในการจัดกับเวลา ส่วนที่ 2 - การประยุกต์ใช้เครื่องมือต่างๆ ในการบริหารจัดการเวลาตามรูปแบบของแต่ละคน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานยิ่งขึ้น แต่ละคนมีนาฬิกาชีวิตที่แตกต่างกันไปจึงทำให้สมองของแต่ละคนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ(สมองแล่น)ในช่วงเวลา/ รูปแบบที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเราทำความเข้าใจรูปแบบนาฬิกาชีวิตของเราๆ ก็จะสามารถบริหารจัดการกิจกรรมต่างๆ และพฤติกรรมของเราให้สอดคล้องกับรูปแบบของเรา ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานที่ดียิ่งขึ้น นาฬิกาชีวิตมี 4 แบบ (เหมือนสัตว์ 4 ประเภท) มีช่วงเวลาที่สมองแล่น (Golden Time) ไม่เท่ากัน สิงห์โต - นอนไม่ดึกแต่ตื่นเช้า สมองแล่นทันทีหลังจากตื่น หมี - ตื่นสายหน่อยสมองยังไม่ทำงานจนกว่าจะผ่านไปประมาณ 2-3 ชั่วโมง หมาป่า - ยิ่งดึกยิ่งคึกคัก สมองแล่นยามดึก โลมา - สมองแล่นตลอดเวลาไม่มีช่วงเวลาที่แน่นอน เทคนิคคือ จัดตารางงานที่สำคัญให้อยู่ในช่วงที่สมองแล่น (Golden Time) หรือช่วงที่มีพลังที่สุด สรุป : 1. เราทุกคนมีเวลาเท่ากันแต่สิ่งที่มีไม่เท่ากันคือ ความสาารถในการบริหารจัดการเวลา 2. การจะบริหารจัดการเวลาได้อย่างเป็นธรรมชาติเริ่มจากการเข้าใจนาฬิกาชีวิตของตัวเองก่อน 3. เมื่อเรารู้จักตัวเองมากขึ้นเราจึงจะสามารถค้นหาเครื่องมือ/เทคนิคที่เหมาะสมมาปรับใช้ให้เหมาะกับธรรมชาติของเรา ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยอดเยี่ยมตามไปด้วย ขอบคุณครับ 😊

ใช่บางคนยังมองไม่เห็นตัวเองพูดจากับการกระทำย้อนแย้งไปหมดเลยความความน่าเชื่อถือ

❤❤😊

Part 2/2 16. ให้เกียรติผู้คน/ เพื่อนร่วมงานและปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าเขาจะอยู่ในระดับที่สูง หรือต่ำกว่าเรา เพื่อจะได้รับการเคารพและยอมรับนับถือ 17. ฝึกลับคมความคิดแบบผู้บริหารใหญ่บ่อยๆ ด้วยการถามตัวเองด้วยคำถามที่ว่า ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์คับขันหรือเลวร้ายต่างๆ เราจะตัดสินใจแก้ไขปัญหานั้นอย่างไรและเพราะอะไร 18. คำว่า Productive ของแต่ละคนมีความหมาย/บริบทที่แตกต่างกัน เราจึงไม่ควรตัดสินผู้อื่นว่า Productive หรือไม่จากการเห็นหรือความคิดของเรา เช่น เห็นเพื่อนร่วมงานลุกเข้าห้องน้ำทุกๆ ชั่วโมง เราอาจมองว่าเป็นการอู้งาน แต่สำหรับเขาคือ การผ่อนคลายจากการทำงานเพื่อให้สามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้งซึ่งส่งผลลัพธ์ที่ดีต่องานด้วยเช่นกัน Attention Span หรือความสามารในการโฟกัสในการทำงานของทุกคนมีจำกัด วิธีการกลับมาสร้างโฟกัสกับงานอีกครั้งของคนก็แตกต่างกันไปด้วย 19. การคุยในระหว่างการทำงานกับเพื่อนร่วมงานนอกจากเป็นการลดภาวะความเครียด หรือเบรคเพื่อสร้าง Attention Span ครั้งใหม่แล้ว ยังเป็นการสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในระหว่างเพื่อนร่วมงานอีกด้วย 20. ผู้นำที่ดีจะคิดเสมอว่าจะช่วยเหลือผู้อื่นและทำให้เขาเหล่านั้นเก่งขึ้น มีศักยภาพที่สูงขึ้นได้อย่างไร การสร้างคนจึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งของผู้นำที่ดี 21. อย่าคาดหวังให้ทุกคนมาชื่นชมเราถ้าเราไม่อยากที่จะผิดหวัง เพราะในความเป็นจริงไม่ใช่ทุกคนที่จะชื่นชมเรา ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ชอบ/ ไม่ชื่นชมเราไม่ว่าเราจะทำดีขนาดไหนก็ตาม อย่าไปใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้เพราะจะทำให้เราเสียจุดยืนที่เป็นตัวตนของเราเพื่อที่จะทำให้คนที่ไม่ชอบกลับมาชอบเรา 22. เปิดใจรับฟังคำติ/ คำตำหนิ และเลือกเอาสิ่งที่ดีไปใช้ในครั้งต่อๆ ไปเพื่อต่อยอดความสำเร็จ 23. อย่าพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีที่สุดเพราะจะทำให้เราเสียเวลาและพลังงานไปโดยไม่จำเป็น ให้เลือกงานที่สำคัญและทุ่มเทพลังงานและทรัพยากรให้ถูกต้องและเหมาะสมกับงานเพื่อสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยม 24. หลักการสื่อสารแบบ 3C = Clear/Concise/Care คือ ชัดเจน/สั้นและกระชับ/คิดถึงใจเขาใจเรา(สื่สารอย่างไรให้เขาเปิดใจรับฟังและยอมรับในที่สุด) สามปัจจัยนี้จะก่อให้เกิดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ 25. สิ่งไหนที่เราไม่ชอบ เราก็ไม่ควรที่จะนำไปปฏิบัติกับผู้อื่น 26. แยกทักษะการทำงานออกเป็นสามกลุ่ม Functional Skills (ทักษะหลักในการทำงาน) Personal Skills (ทักษะเฉพาะ/พิเศษส่วนบุคคล) Industry Specific Skills (ทักษะที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ/อุตสาหกรรม) และดูว่าในงานที่เราทำอยู่นั้นจะต้องมีทักษะในแต่ละกลุ่มอะไรบ้างเพื่อที่จะได้พัฒนาทักษะเหล่านั้นได้ตรง และเกิดประโยชน์ในการทำงาน/ การเจริญเติบโตในหน้าที่การงานได้ดีขึ้น (ดีกว่าการพัฒนาทักษะแบบสุ่มหรือแบบที่อยาก/ชอบ แต่ไม่เกิดประโยชน์กับงาน) 27. จะสู้กับผู้อื่น/ งานอย่าสู้ด้วยทักษะประเภทเดียว ทักษะหลายทักษะสามารถเสริมกันและกันเพื่อสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม การมีทักษะหลายๆ ด้านช่วยให้เรารอบรู้และรู้รอบทำให้เราสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ดีกว่า 28. พยายามจับเทรนด์หรือแนวโน้มในอนาคตให้ได้เพื่อที่เราจะได้พัฒนาตัวเองให้สอดคล้อง เป็นการเพิ่มโอกาสในการเติบโตในสายอาชีพได้ 29. Power of Output เอาสิ่งที่เรียน/ที่รู้มาสอนต่อให้กับผู้อื่น จะทำให้เป็นที่ยอมรับในความสามารถมากกว่าการโฟกัสกับการทำงานของเราเพียงอย่างเดียว 30. กำหนด Theme/ ตำแหน่งที่เราตั้งความหวังไว้ในอนาคต (เช่น ผู้บริหารฝ่าย) จะช่วยเปลี่ยนวิธีคิดในการทำงานรวมถึงเป้าหมายในการทำงานของเราอย่างสิ้นเชิง เพราะการคิดในฐานะของผู้บริหารฝ่ายจะทำให้เราอยู่ว่าเรายังขาดความรู้/ ทักษะเรื่องไหนที่จะแก้ไขปัญหาในระดับสูงแบบนั้น เราต้องทำอะไรและอย่างไร เพื่อที่จะสร้างเราจากภาพปัจจุบันให้ไปสู่ตำแหน่ง/ เป้าหมายที่เราตั้งความหวังไว้ ขอบคุณครับ 😊

รอ Part2 ครับ 😊

ขอบคุณคำแนะนำดีๆค่ะ

1. วางแผนการทำงานล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ เพื่อเตรียมการที่จำเป็นและปรับแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงมากยิ่งขึ้น 2. ใส่กิจกรรมทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวไว้ในตารางการทำงานเพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่เราตั้งเป้าว่าจะทำ โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวซึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม จะไม่ถูกแทรกโดยงานอื่น (ไม่ให้งานของคนอื่นมีความสำคัญมากไปกว่างานของตัวเอง) 3. การเรียนรู้ที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง คือ การจดโน๊ต เช่น การจดบันทึกหรือประเด็นสำคัญๆ ในการประชุมด้วยตัวเองนอกจากจะทำให้เราสามารถเชื่อมโยงงานของฝ่ายต่างๆ แล้ว เรายังได้เรียนรู้งานเพิ่มขึ้นอีกด้วย 4. การจัดข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นหมวดหมู่ จะช่วยให้เราค้นหาข้อมูลได้สะดวกขึ้น ช่วยประหยัดเวลา (เทคนิคการจัดหมวดหมู่ไฟล์แบบ PARA : P = Project, A = Area งานที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ทำซ้ำๆ เสมอๆ รายสัปดาห์/เดือน/ไตรมาส, R = Resource ข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์และสามารถนำมาใช้ได้ในอนาคต เช่น เอกสารการนำเสนอต่างๆ ผลการวิจัย ข้อมูลการตลาด, A = Archive เอกสาร/ข้อมูลที่เสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ยังเก็บเอาไว้อ้างอิง) 5. เมื่อถูกตั้งคำถาม ตอบให้ตรงกับคำถามก่อนแล้วจึงค่อยอธิบายข้อมูลต่างๆ ประกอบ 6. คิดก่อนการลงมือทำด้วยการโฟกัสงาน 20% ที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการ 80% 7. ก่อนการทำ Presentation Slide ให้เขียนโครงเรื่อง(Story)ในการะดาษก่อน อย่าเริ่มต้นการนั่งทำ Slide หน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยการคิดโครงเรื่องเพราะจะให้เสียเวลานานกว่า 8. จัดเวลากับประเภทของงานให้สอดคล้องกัน จัดเวลาเช้าซึ่งเป็นเวลาที่สมองมันไม่ล้าและเรายังมีพลังเต็มเปี่ยมสำหรับงานสำคัญๆ ก่อน การประชุมที่มีการถกเถียง แลกเปลี่ยนความเห็นกันควรอยู่ในช่วงบ่าย ส่วนงานที่ทำเป็นประจำอยู่แล้วให้จัดไว้ในช่วงเย็น 9. เวลาที่ความคิดเห็นขัดแย้งหรือไม่ตรงกันกับเพื่อนร่วมงาน ให้จินตนาการว่าเราอีกอีกฝ่ายหนึ่งและเรามีความคิดอย่างไรกับ 3 คำถาม : อะไรคือสิ่งที่เขาต้องการ/ ถ้าทำไม่สำเร็จปัญหาคืออะไร/ อะไรคือข้อจำกัดที่ทำให้เขาต้องการสิ่งนั้นหรือผลลัพธ์แบบนั้น ถ้าเราเข้าใจคำตอบของทั้งสามคำถามนี้อาจทำให้เราค้นพบกับคำตอบใหม่ๆ ที่จะให้ทั้งเราและอีกฝ่ายพึงพอใจด้วยกันทั้งคู่ (Win-Win) 10. การปฏิเสธอย่างสุภาพ หรือการไม่ทำงานบางอย่างตามคำขอร้องของผู้อื่น อาจจะช่วยให้เราสามารถตัดงานบางงานออกจากตารางของเราได้ และทำให้เรามีเวลาทำงานอื่นที่มีความสำคัญมากกว่าสำหรับตัวเราเอง 11. การพัฒนาตัวเองที่ง่ายที่สุด คือ การเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์ และนำสิ่งนั้นมาลองฝึกฝนกับตัวเอง 12. เรียนรู้ Framework ในการทำงานรูปแบบต่างๆ เพื่อเลือกมาปฏิบัติในสถานการณ์ต่างๆหรือปรับใช้ตามความเหมาะสม ไม่ยึดติดกับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง 13. การอ่านหนังสือในเรื่องที่เราสนใจเป็นประจำ อาจจะไม่นานแต่อ่านทุกวัน การอ่านเป็นการฝึกสมาธิและเป็นการพัฒนาสมองที่ดีอย่างหนึ่ง 14. ฝึกการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษโดยเริ่มอ่านจากหัวเรื่อง/ หัวข้อที่เราชอบหรือสนใจเป็นพิเศษก่อน 15. เมื่อทำงานร่วมกับผู้อื่นและประสบความสำเร็จให้มอบเครดิตจากผลลัพธ์ของงานนั้นกับผู้อื่นด้วย ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเราเอง ทำให้เราได้รับการยอมรับนับถือจากผู้อื่น เป็นที่น่าเคารพนับถือเพราะไม่เก็บความดีความชอบไว้เพียงคนเดียว ขอบคุณครับ 😊

ยังหาตัวเองไปเจอเลีย😢 36ปีละ มันไม่ปกติ! เราจะมักต่อต้านตัวเอง ว่า ตัวเองไม่สมควรได้รับมัน. แต่เราทำงานเยอะมากเพึ่อพิสูจน์ตัวเอง! ยิงทำยิงรู้สึกว่า ตัวเองมีความสุข😑😂

ขอบคุณมากครับ

ขอบคุณมากๆค่ะ🫰😊🥰🤍💐🧸

ขอบคุณครับ

ขอบคุณมากครับ

❤❤❤

มีประโยชน์มากเลยค่ะ จะเอาไปปรับใช้นะคะ ขอบคุณที่แชร์ค่า 🙏

น่าสนใจครับ ขอบคุณมากครับ

ขอเพิ่มหน่อยเดียว เทคนิคนี้นกฬ.จะรู้จักดี กีฬาหลายชนิดเช่นเทนนิส แบดมินตัน วอลเล่ย์ ในสถานะการณ์ที่ย่ำแย่ ท้ายเซตแล้วหรือเซ็ทสุดท้ายแล้ว คู่ต่อสู้ใกล้ที่จะชนะเรา ใกล้แมทช์พ้อยท์ หลังชนฝา เราขะเล่นแบบshotต่อshotเราจะไม่นึกถึงแต้มที่เราผิดพลาด หรือที่เราทำได้ดี เราจะใม่นึกถึงว่าผลมันจะเป็น อย่างไรวันนี้จะแพ้หรือชนะ เราจะโฟกัสshotที่เรากำลังเล่นเท่านั้น สมาธิจะแน่วแน่ จะทำให้ดีที่สุดจะไล่สุดขีดเข้าให้ถึงทุกลูก play safeแต่จะสร้างความยากลำบากให้คู่แข่งมากที่สุด แผนการเล่นที่เตรียมมากี่แผนทิ้งไปให้หมด เดินออกมาจากสนามจะไม่ วันที่จะเสียใจ

ขอบคุณมากค่ะ

thanks

ขอบคุณสำหรับคลิปดีๆค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

Live life in day-type compartment ขอบคุณมากครับ

High performance - Mastery + flow ( ขอบคุณค่ะ ) - Emotion of Active (productivity by fun).❤❤❤❤❤❤❤❤❤

1. Rapport First สร้างความเชื่อมโยง ด้วยการลดข้อจำกัดของการสนทนา เริ่มต้นด้วยการคุยเรื่องทั่วๆไป 2. Tone from the Top วิธีการ/ แนวทางที่ผู้นำปฏิบัติตนซึ่งจะกลายเป็นรูปแบบ (Role Model) ให้กับผู้อื่นในองค์กร 3.1 สิ่งที่พูดจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับผลลัพธ์ของเรื่องนั้นๆ หรือไม่ 3.2 สิ่งที่พูดจะกระทบกับความรู้สึกของใครหรือไม่ 4. ต้องฟังให้เป็นด้วย 5. SOCO Single overriding communication objective การกล่าวย้ำวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร ขอบคุณมากครับ 😊

ขอบคุณครับ

ยอมรับการเปลี่ยนแปลง

ขอบคุณมากครับ

ขอบคุณมากเลยครับ ขอติดตามรับฟังด้วยนะครับ

ขอบคุณครับดีมากๆเลย❤

ขอบคุณที่ทำคลิปดีๆให้ฟังนะคะ กดติดตามให้แล้วค่ะ🙏

❤🙏👍❤🌈

ขอบคุณมากครับ

ทรงพลังมากเลยค่ะ กับคำว่าบางครั้ง ขอบคุณที่ได้ใช้บางครั้งกับการฟังครั้งแรก เหมือนได้ให้รางวัลตัวเอง มีพลังใจเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่ดี กับบทสรุป content เป็นประโยชน์มากค่ะ

555 การเป็นคนเก่งมันอยากกันได้เหรอ คนมันเก่งยังไงก็เก่ง ถ้าพยายามเป็นคนเก่งยังไงก็เป็นคนที่พยายาม เผลอๆพวกนี้ชอบไปแย่งไปแข่งขันกีดกันคนเก่งจริงๆด้วย

กำลังตกผลึกเรื่องนี้ครับ เราไม่ควรแปะป้ายตัวเองว่าเราเป็นแบบไหนยังไง เพราะเราคือมนุษย์ที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาได้ตลอดชีวิต และมันสนุกมากๆที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ

ถูกต้องครับ

เห็นด้วยกับหลายคอนเซปต์เลย แต่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการให้ reward แค่บางครั้ง เราคิดว่ามันเหมาะกับบางคน(แน่นอนว่าเกือบทุกแนวคิดการพัฒนาตัวเองคือ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล) สำหรับใครที่เป็นคนมีแนวโน้มมองตัวเองในแง่ลบ อาจจะมีแนวโน้มการให้รางวัลแบบ“บางครั้ง” น้อยจนถึงขั้นไม่ให้เลย ถ้าใครที่มักมีความคิดในแง่ลบกับตัวเองบ่อยๆก็อยากแนะนำให้ให้รางวัลตัวเองทุกครั้ง หรือให้บ่อยที่สุด เพราะตัวคนที่ขาดความมั่นใจ ก็เหมือนเด็กที่ต้องการความมั่นใจ ถ้าผู้ใหญ่ให้ความรัก(เช่น คำชม) แบบขาดๆ หายๆ เขาจะสร้างความมั่นใจในตัวเองลำบาก จะสับสนในตัวเองว่าฉันดีพอหรือยัง การให้รางวัล“บางครั้ง” ควรจะเป็นรางวัลเสริมหลังจากที่เราสมบูรณ์พอ รู้สึกเติมเต็มมากพอ ถ้าได้อะไรมาอีกคือจะยิ่งดีขึ้นไปอีก แต่ถ้าเรายังไม่เต็ม เราจะรู้สึกโหยหา และกลายเป็นเศร้าแทนถ้าเราไม่ได้รับ กลายเป็นความมั่นใจถูกทำลายแทน

ส่วนตัวเลือกทำในสิ่งที่เกลียดก่อนเสมอ ซึ่งผลออกมามักดีกว่าทำสิ่งที่ชอบ...

ก็แค่ฝึกให้มันเยอะๆจนชินเป็นธรรมชาติแค่นั้นเอง

มีประโยชน์มากค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

ซื้อมาอ่านแล้วครับ

East meet west.

❤

Hey Simon i'm here🙏🏻📈

ขอบคุณค่ะ ได้ความรู้เยอะเลย

จริงครับ พยายามจนเหนื่อยแต่ผลออกมาไม่ดี

ขอบพระคุณค่า กำลังเผชิญปัญหานี้อยู่เลยค่ะ burn out ฟังแล้วได้อีกมุมมองเลยค่ะ 🙏🏽

🎉🎉🎉