โปรดแชร์…
โรคเบาหวาน ( Diabetes Mellitus ) คืออะไร? อธิบายให้เข้าใจอย่างง่ายๆก็คือ การที่ร่างกายไม่สามารถที่จะนำน้ำตาลออกจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อเผาผลาญและใช้เป็นแหล่งพลังงานได้ มีผลทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเรียกว่า “ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง “ ( Hyperglycemia ) ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆของโรคเบาหวานได้ครับ
โรคเบาหวานมีสองประเภทคือ โรคเบาหวานประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 อะไรคือความแตกต่างระหว่างโรคเบาหวานทั้งสองประเภทนี้? โรคเบาหวานประเภทที่1 คือ คนไข้จะขาดฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากตับอ่อน และเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้น้ำตาลจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์และนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงาน ในขณะที่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 จะมีสาเหตุมาจากการที่คนไข้มีวิถีชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งมีส่วนทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และมีการสะสมของเซลล์ไขมัน ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการนำน้ำตาลจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ต่างๆของร่างกาย
วันนี้เราจะมาดูกันคร่าวๆเกี่ยวกับโรคเบาหวานประเภทที่1 กันนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการจัดการและวิถีชีวิต ทางเลือกในการรักษาเบาหวานประเภทนี้มีอะไรบ้าง? คนไข้เบาหวานประเภทที่1 จะขาดฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งจะผลิตมาจากตับอ่อน ดังนั้นจะรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนอินซูลินครับ
ฮอร์โมนอินซูลินมีอยู่ด้วยกันหลายประเภทนะครับ : ประเภทออกฤทธิ์เร็ว ประเภทออกฤทธิ์นานขึ้นในระดับกลาง ประเภทออกฤทธิ์นาน ประเภทออกฤทธิ์นานพิเศษ เป็นต้น
โดยทั่วไปคนไข้จะใช้ฮอร์โมนอินซูลินผสมกันหลายประเภทนะครับ ตัวอย่างเช่น อาจจะใช้ประเภทออกฤทธิ์นาน ซึ่งจะนำน้ำตาลจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์มาใช้ เพื่อให้ออกฤทธิ์ช้าๆ แต่ในช่วงมื้ออาหารคนไข้อาจจะใช้การฉีดอินซูลินประเภทออกฤทธิ์เร็ว เพื่อให้รีบดักจับน้ำตาลในกระแสเลือดที่มาจากการทานอาหารและช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด
สิ่งที่สำคัญมากสำหรับคนไข้เบาหวานประเภทที่ 1 ที่ใช้ฮอร์โมนอินซูลินก็คือ การทานอาหารให้ตรงเวลาและห้ามงดอาหารนะครับ อะไรจะเกิดขึ้นถ้าคุณงดอาหารในขณะที่คุณฉีดฮอร์โมนอินซูลิน? อธิบายได้ก็คือ ถ้าไม่ทานอาหารระดับน้ำตาลในเลือดก็จะต่ำอยู่แล้ว และถ้ามีการฉีดฮอร์โมนอินซูลินเข้าไปก็จะยิ่งนำน้ำตาลมาสู่เซลล์มากกว่าที่ควรไปอีก ทำให้ร่างกายของคุณเกิดภาวะที่เรียกว่า “ hypoglycemia “ หรือ “ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ “ ซึ่งจะทำให้มีอาการวูบ เป็นลม เวียนศรีษะ อ่อนเพลีย และสับสน ดังนั้นอย่างดอาหารนะครับไม่ว่าคุณจะยุ่งสักแค่ไหน และควรพกเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลไว้กับตัวเสมอ เช่น น้ำส้ม บางครั้งคุณอาจจะไม่มีเวลาได้ทานอาหารที่เหมาะสมในขณะที่คุณใช้อินซูลิน ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณก็จะต่ำลง ทำให้คุณสับสนและอ่อนเพลียได้ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลจะช่วยนำน้ำตาลกลับเข้าสู่กระแสเลือด และทำให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที และหลังจากนั้นคุณควรที่จะนัดหมายกับแพทย์ของคุณเพื่อที่จะทบทวนปรับเปลี่ยนขนาดการใช้อินซูลินด้วยนะครับ
แพทย์จะใช้หลักเกณฑ์อะไรในการที่จะกำหนดขนาดและการผสมประเภทอินซูลินของคุณ? วิถีชีวิต อาหาร และนิสัยทางสังคม คือปัจจัยที่แพทย์ใช้ในการพิจารณาครับ แพทย์จะทำการสั่งตรวจเลือดเพื่อดู Hemoglobin A1C Hemoglobin A1C จะวัดระดับของระดับน้ำตาลสะสมโดยเฉลี่ยในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา โดยทั่วไปหากวัดได้มากกว่า 6.5% นั่นคือ จะเป็นการบ่งชี้ว่าคนไข้เป็นเบาหวาน โดยทั่วไปการที่จะจัดการคนไข้เบาหวานให้ประสบความสำเร็จ แพทย์จะพยายามรักษาระดับของ Hemoglobin A1C ให้ต่ำกว่า 7% ด้วยการปรับเปลี่ยนขนาดและประเภทของอินซูลินให้เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคนครับ อาหารและการนับการทานคาร์โบไฮเดรต ใช่ครับ ร่างกายของเราจะสลายคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นน้ำตาล
หลังจากนั้นผมก็ได้พูดถึงภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานเอาไว้อย่างคร่าวๆด้วยนะครับ ผมขอส่งกำลังใจให้และด้วยความปรารถนาดีครับ
🙏💪🫰🫂👨🏻⚕️
#TeamCMIC #testprep #diabetesawareness
6 сен 2024
